วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

พิธีเปิดโอลิมปิกเกมส์ลอนดอน (Olympic games 2012 London)

พิธีเปิดโอลิมปิคเกมส์ลอนดอน (Olympic games 2012 London)



(คลิปอยู่ด้านล่างของบทความครับ)

มีข้อถกเถียงกันถึงความยิ่งใหญ่ใน พิธีเปิดโอลิมปิกเกมส์ 2012 ที่ลอนดอน เปรียบเทียบกับโอลิมปิกเกมส์ 2008 ที่ปักกิ่ง ผมขออนุญาตินำความเห็นของ Ai Weiwei แห่ง The Guardian มาให้พวกเราได้อานนะครับ มาดูว่าชาวจีนเขาคิดกันอย่างไรเมื่อเปรียบเทียบพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิกบ้านตัว เองเมื่อปี 2008 กับพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2012 ที่ลอนดอนครับ

 

Olympic opening ceremony:

Ai Weiwei’s review
The leading Chinese artist who withdrew from Beijing’s opening ceremony explains why London’s was very different

 

พิธีเปิดโอลิมปิก:

รีวิวสืโดย:Ai Weiwei
ศิลปินชั่นแนวหน้าของจีนซึ่งถอนตัวออกจากพิธีเปิดปักกิ่งเกมส์ ได้อธิบายว่าทำไมพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2012 ที่ลอนดอนถึงได้สร้างความต่างได้อย่างมากมายนัก

Brilliant. It was very, very well done. This was about Great Britain; it didn’t pretend it was trying to have global appeal. Because Great Britain has self-confidence, it doesn’t need a monumental Olympics. But for China that was the only imaginable kind of international event. Beijing’s Olympics were very grand – they were trying to throw a party for the world, but the hosts didn’t enjoy it. The government didn’t care about people’s feelings because it was trying to create an image.

มันเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยม ทำได้ดี และดีมาก นี่เป็นเรื่องราวของเกรทบริเตน (Great Britain) ไม่ใช่เป็นแค่การแสร้งทำเพื่อให้ชาวโลกหันมามอง เพราะว่าเกรทบริเตน มีความมั่นใจในตนเอง ไม่จำเป็นจะต้องสร้างความยิ่งใหญ่ให้โอลิมปิกกลายเป็นอนุสรณ์แต่อย่างได แต่สำหรับประเทศจีนนั้น พิธีเปิดโอลิมปิกมันเป็นอีเวนต์เดียวในระดับนานาชาติเท่าที่ผู้คนพอจะนึกออก โอลิมปิกที่ ปักกิ่งนั้นยิ่งใหญ่มาก จีนพยายามที่จะทำให้เป็นงานรื่นเริงของชาวโลก แต่ผู้จัดก็ไม่ได้พอใจกันมันนัก รัฐบาลไม่ได้สนใจต่อความรู้สึกผู้คน เพราะพวกเขาก็แค่ต้องการสร้างภาพ

In London, they really turned the ceremony into a party – they are proud of themselves and respect where they come from, from the industrial revolution to now. I never saw an event before that had such a density of information about events and stories and literature and music; about folktales and movies.

ในลอนดอน, พวกเขาเปลี่ยนพิธีเฉลิมฉลองให้ กลายเป็นงานรื่นเริง พวกเขามีความภูมิใจในตัวเอง และให้ความสำคัญกับรากเหง้าของตนเอง ตั้งแต่สมัยปฏิวัติอุตสาหกรรม จนกระทั่งปัจจุบัน ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน ที่การจัดงานครั้งไหนที่ประกอบไปด้วยสาระอันแน่นแฟ้น เกี่ยวกับเหตุการณ์, เรื่องราว, เรื่องทีผู้คนกล่าวขานกันมา, ดนตรี, และภาพยนต์ รวมกัน

At the beginning it dealt with historical events – about the land and machinery and women’s rights – epically and poetically. The director really did a superb job in moving between those periods of history and today, and between reality and the movies. The section on the welfare state showed an achievement to be truly proud of. It clearly told you what the nation is about: children, nurses and a dream. A nation that has no music and no fairytales is a tragedy.

ในช่วงเริ่มต้น เป็นการนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ด้วยบทกวีและเรื่องราวเกี่ยวกับแผ่นดิน เครื่องจักร และสิทธิสตรี ผู้กำกับประสพความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยม ในการเคลื่อนผ่านเรื่องราวระหว่างยุคที่เป็นประวัติสาสตร์ และความเป็นปัจจุบัน และระหว่างเรื่องราวความเป็นจริงกับเรื่องราวในภาพยนต์ มันคือความยิ่งใหญ่ที่ผู้คนจะภาคภูมิใจ และมันเป็นการแสดงที่จะบอกคนดูได้อย่างชัดเจนว่าความเป็นประเทศอังกฤษคือ อะไร ซึ่งมันก็เกี่ยวกับ เด็กๆ, การใส่ใจกับความรู้สึกผู้คน, และความฝันของผู้คน ประเทศไหนที่ไม่มีดนตรี ไม่มีนิยายแฟรี่เทล นับว่าเป็นประเทสที่น่าเศร้าสุดๆ

There were historical elements in the Beijing opening ceremony, but the difference is that this was about individuals and humanity and true feelings; their passion, their hope, their struggle. That came through in their confidence and joy. It’s really about a civil society. Ours only reflected the party’s nationalism. It wasn’t a natural reflection of China.

ในพิธีเปิดปักกิ่งเกมส์ มันก็มีส่วนประกอบที่เป็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อยู่เหมือนกัน แต่มันแตกต่างตรงที่ พิธีเปิดโอลิมปิกเกมส์ที่ นี่(ที่ลอนดอน) มันเกี่ยวกับเรื่องของบุคคล มวลมนุษยชาติ ความรู้สึก สิ่งที่ผู้คนหลงไหล ความฝันของพวกเขา การต่อสู้ดิ้นรนของพวกเขา ซึ่งได้ส่งผ่านออกมาในความเชื่อมั่นและความสุขของพวกเขา มันเป็นเรื่องราวจริงๆของผู้คนในอังกฤษ ในขณะที่พิธีเปิดที่จีนมันก็เป็นแค่งานรื่นเริงระดับชาติ ไม่ได้สท้อนถึงรากเหง้าของประเทศจีนเลย

Few of the people were performers. They were ordinary people who contribute to society – and if there is a celebration, then it should be for everyone from the Queen to a nurse. I feel happy that they can all have their moment to tell their story.
It was about real people and real events and showed the independent mind of the director, but at the same time it had so much humour. There was a strong sense of the British character.

ใช้คนแสดงน้อยมาก, พวกนักแสดงก็เป็นคนธรรมดาๆ ที่อาสามาทำงานให้กับส่วนรวม และเมื่อมีการเฉลิมฉลอง มันก็ควรจะเป็นการฉลองของทุกๆคนตั้งแต่พระราชินีจนถึงรากหญ้า ฉันรูัสึกดีที่ได้เห็นพวกเขามีช่างเวลาที่ได้สื่อเรื่องราวของตัวเองออกมา มันเป็นเรื่องราวของผู้คนจริงๆ เหตุกาณ์จริงๆ และยังแสดงให้เห็นว่าผู้กำกับได้รับอิสระทางความคิดในการที่จะสร้างผลงาน เช่นนี้ออกมา ใขณะเดียวกันมันก็สื่อถึงความมีอารมณ์ขันของคนอังกฟษได้อย่างดีอีกด้วย นี่แหละมันบ่งบอกเอกลักษณ์ของความเป็นอังกฤษเลย

The Chinese ceremony had so much less information and it wasn’t even real. It wasn’t only about the little girl who was miming – which was an injury to her and the girl whose voice was used – but that symbolically showed the nation’s future. You can’t trust or rely on individuals or the state’s efforts.

ในพิธีเปิดที่ปักกิ่งนั้น มีสาระน้อยมากๆ และไม่ได้เป็นสาระที่เป็นจริงด้วยซ้ำไป มันไม่ใช่แค่เรื่องราวลวงโลกที่เด็กหญิงออกมาร้องลิปซิงค์เท่านั้น นอกจากมันจะกลายเป็นความเสื่อมเสียไปที่เด็กสองคนแล้ว ก็ยังเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงอนาคนของชาติ คุณไม่สามารถเชื่อถืออะไรได้ทั้งเรื่องในระดับบุคคล หรือเรื่องที่รัฐจัดมาให้ก็ตาม

หมายเหตุจากผู้แปล: ในพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิกเกมส์ ที่ปักกิ่ง ปี 2008 มีเด็กน้อยออกมาร้องเพลงชาติได้เพราะมาก และมันทำให้เธอดังไปทั่วโลกในชั่วข้ามคืน แต่ไม่มี่วันต่อมาก็ปรากกความจริงว่า แท้จริงแล้วม่ใช่เสียงของเธอ แต่เป็นเสียงของเด็กหญิงอีกคนหนึ่ง เนื่องจากคณะกรรมการจัดพิธเห็นว่าเด็กที่เสียงเพราะนั้นถึงจะหน้าตาน่ารัก แต่ก็มีฟันที่เก จึงเฟ้นหาเด็กหน้าตาดีเพอร์เฟคมาเข้าฉากแทน ทั้งๆที่เธอซ้อมร้องมาเป็นปีๆ

In London there were more close-ups – it didn’t show the big formations. It had the human touch. In Zhang Yimou’s opening ceremony there was almost none of that. You could not push into a person’s face and see the human experience. What I liked most with this was that it always came back to very personal details. And that’s what makes it a nation you can trust; you see the values there. Anyone who watched it would have a clear understanding of what England is.

ในพิธีเปิดที่ลอนดอน มันเป็นเรื่องราวที่เจาะลึกลงไปมากกว่า, ไม่ได้เป็นการแสดงที่โชว์รูปแบบความพร้อมเพรียง แต่มันเป็นเรื่องราวที่ประทับในความรู้สึกผู้คน ซึ่่งในพิธีเปิดที่จีนแทบจะหาแบบนี้ไม่ได้เลย คนดูจะไม่สามารถมองลงไปไปที่ใครสักคน เพื่อมองประสพการณ์ของผู้คนโดยรวมได้ สิ่งที่ฉันชอบมาที่ลอนดอนนี่ก็คือ การที่เรื่องราวที่ดำเนินไปจะย้อนกลับมาอธิบายสิ่งทีเป็นรายละเอียดด้านลึกๆ ของผู้คนในอังกฤษ และนั้นเป็นอะไรที่รวมกันเป็นชาติที่มีความเชื่อถือได้ คุณจะมองออกถึงคุณค่าที่มีอยู่ในนั้น ใครก็ตามที่ได้ดูก็จะเกิดความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าความเป็นอังกฤษมันคือ อะไร


ชมคลิปวีดิโอพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2012 ที่ลอนดอน แบบเต็มๆได้ที่นี่ครับ

ที่มา: www.smileyfox.com

วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

รวมคำคมประโยคเด็ด (มุขเสี่ยวๆ) จาก Facebook, twitter

รวมคำคมประโยคเด็ด (มุกเสี่ยวๆ) จาก Facebook, twitter

หลายๆครั้งที่จะโพสต์เฟสบุ๊ค หรือโพสต์ทวิตเตอร์แล้วไม่รู้ว่าจะโพสต์อะไรดี ลองประโยคเหล่าหนี้สิครับ อาจจะเรียก like ได้บ้าง:
- บทเรียนที่ยากที่สุดของคนรักกัน..คือความห่างไกล
- ผู้ชายที่อ่อนโยนได้มากเท่าไร หมายความว่า เวลาเขาใจร้าย เขาก็หยาบคายได้ที่สุดเช่นเดียวกัน
- หวยซื้อทุกเลข ยกเว้นเลขที่ออก
- ในเมื่อ “ผอม” ไม่ได้…ก็ควรจะเรียนรู้ที่จะ “อ้วน” อย่างน่ารัก
- เสียใจไม่ว่า แต่อย่าทำให้เสียความรู้สึก เพราะต่อให้คุณ “สำนึก” ความรู้สึกก็ไม่กลับมา
- อยากอกหัก เเต่อุปสรรค อยู่ที่หน้าตา
- ตอนกรูจีบ ก็เสือกไม่เอา แล้วจะบ่นโสด บ่นเหงา เพื่ออะไร
- ไม่เคยเล่น “ฟาร์มวิลล์” เพราะไม่เก่งเรื่อง “ปลูกผัก” แต่ถ้าเป็น “ฟาร์มรัก” ถึงไม่ถนัดแต่ก็ “อยากลอง”
- ถึงไม่หล่อเท่าโดม แต่ก็ใช้โฟมที่โดมโฆษณา
- อยากลืมใคร อย่าใช้เวลา เพราะนาฬิกา ยังวนมา”ที่เดิม”
- ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้าน้อง พี่ก็เหมือนตกอยู่ในสนามรบ … รบแรกพัก
- ชีวิตแต่งงานกับพิธีแต่งงาน มันไม่ใช่เรื่องเดียวกัน อย่าหวังว่ามันจะสวยงามเช่นเดียวกัน
- ความรักก็เหมือนหมอฟัน…หลอกกรูอยู่นั่น ว่าไม่เจ็บ ไม่เจ็บ
- ความรักคืออะไร …มีนิยามมากมายบอกไม่หมด แต่ฉันว่าความรักเหมือนเกมกด พอถ่านหมดก็จบเกม
- ไม่ได้คิดจะ”แย่ง” แค่ แอบ “แช่ง” ให้เลิกกันเร็วๆ
- เป็นการยากหากจะเข้าใจในความรัก…แต่ยากยิ่งนักหากจะรักอย่างเข้าใจ
- ตั้งแต่เกิดมาเคยเจ็บแค่สองครั้ง “ครั้งแล้ว” กับ “ครั้งเล่า”
- รักใครอย่าทิ้ง รักจริงอย่าจาก รักใครอย่าพราก รักแต่ปากอย่ารักเลย
- คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก คัพ D ซบลำบาก อึดอัดมาก……..แต่รับได้
- สาเหตุที่ Facebook ไม่มี LOVE มีแต่ LIKE เพราะไม่สนับสนุนให้ใครหลายใจ LOVE ใครหลายๆ คน
- Google ที่ว่าแน่ . . ยัง Search’ หา “คู่แท้” ตู ไม่เจอ
- กินอยู่กับปาก อยากอยู่กับเธอ
- ไม่อยากเป็น “เจ้าหญิง” เพราะได้แค่ “เจ้าชาย” แต่อยากเป็น “นางร้าย” ที่จะได้ “ผู้ชายทั้งเรื่อง”
- ทีตอนผมโสดล่ะไม่มีใครรู้…….แต่ตอนกรุเจ้าชู้…รู้กันได้ไง
- เป็น “คนโสด” ไม่ต้องเศร้า เพราะ ถ้าเป็น “คนที่เขาไม่เอา” มันเศร้ากว่า
- ผู้ชายไม่ใช่พิซซ่า เลือกหน้ากันอยู่ได้
- ถึงจะใช้ ” โปรโทรฟรี “.. ก็ไม่มี ความหมาย.. ถ้าไม่มี คนปลายสาย ให้โทรหา
- “สายตา”ของคนบางคนมีผลต่อการเต้นของ”หัวใจ”
- อย่าเชื่อ คำว่า “โดนทิ้ง” ของผู้หญิง อย่าเชื่อ คำว่า “รักจริง” ของผู้ชาย
- แอดเป็นเพื่อนน่ะ พอรู้ แต่แอดเป็นชู้ มันกดตรงไหน -
คงอยากจะเอาไปโพสต์เฟสบุ๊ก หรืออัพทวิตเตอร์ กันบ้างแล้วใช่ไหมล่ะ ลองเลือกไปใช้ดูนะครับ และอย่าใช้พรำเพรื่อเดี่ยวจะโดยหาว่า “เยอะ” ครับ

Source(ที่มา) http://www.smileyfox.com/

The Dark Knight Rises -แบทแมนภาค 3

The Dark Knight Rises -แบทแมนภาค 3

dark-knight-rises-batman

ตั้งแต่ดูหนัง super hero มาทั้งหมด ก็จะมี Bat man นี่แหละที่ผมชอบมากที่สุดแล้ว เพราะมันก้าวพ้นจากความเป็นหนัง Super hero ธรรมดาๆทั่วๆไป ซึ่งพระเอกเก่งมีพลังพิเศษ ในที่สุดสู้กันไปมาแล้วตัวร้ายแพ้ก็จบ ไมได้อะไรกลับบ้านเลย แต่สำหรับหนังแบทแมนในแต่ละภาค มันคือหนังที่ดูแล้วต้องคิดตาม มีที่มาที่ไป มีสิ่งที่ดึงความสนใจคนดูที่มากว่า เครื่องมือไฮเทค หรือรถหรูของฮีโร่ค้างคาว ก่อนไปดูก็ยังสงสัยอยู่ว่า ภาคนี้จะไปแนวไหนนะ เพราะในภาคสองนั้น ทำได้ยอดเยี่ยม อย่างไม่รู้จะติอะไร ทิ้งตำนานโจ๊กเกอร์ให้ผู้คนกล่าวถึงไปตลอดกาล

เปิดฉากแรกมาด้วยการชิงตัวประกันบนเครื่องบินของ CIA สำหรับคอหนังแอคชั่น ถ้าเข้าโรงช้าก็ถือว่าพลาดฉากสำคัญ เพราะว่าฉากนี้แหละ เป็นฉากที่ คริสโตเฟอร์ โนแลน พยายามจะบอกพวกเราว่า “กูก็ทำได้” สเน่ห์ของหนังแอ๊คชั่นอย่างนึ่งคือ “ความโอเวอร์” ซึ่งหนังแบทแมนไม่เคยมี แต่มาภาคนี้เปิดฉากมาปุ๊บก็ทำให้คนดูลุ้นระทึกทันที และในฉากเดียวกันนี้ก็เป็นการเปิดตัววายร้าย “เบน” อีกด้วย


การออกตลาดของหนังเรื่องนี้ ถือได้ว่าเลือกช่วงเวลาได้ถูก จนอดคิดไม่ได้ว่า หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐแอบมาคุยกับคริสโตเฟอร์ โนแลนด์ รวมทั้งเป็นสปอนเซอร์ให้เขาอย่างลับๆหรือเปล่า ในช่วงเวลาที่โลกนี้กำลังทำการปฏิวัติประชาชนครั้งแล้วครั้งเล่าจากประเทศ ต่างๆตั้งแต่เอเซียใต้ ไปตะวันออกกลาง จนกระทั้งถึงแอฟริกา เกือบทั้งหมดทำให้อเมริกาเสียผลประโยชน์ เพราะการปฏิวัติเหล่านั้นได้โค่นล้ม/หรือพยายามโค่นล้มเด็กสร้างของอเมริกา อย่างที่อิยิปต์ และเยเมน เป็นต้น ในภาคนี้คริสโตเฟอร์ โนแลนด์ ได้ตบหน้าประชาชนผู้ก่อการปฏิวัติฉาดใหญ่ ด้วยการกำหนดให้การปฏิวัติประชาชนของวายร้ายเบน เป็นแค่การหลอกลวง ประชาชนที่ลุกขึ้นมาต่อต้านทางการร่วมกับเบน ก็แค่ถูกเบนหลอก เมื่อได้อำนาจแล้วก็ทำอะไรไม่เป็น กระทั้งจะตั้งผู้พิพากษาก็ทำได้แค่หาคนหน้าตาฉลาด แต่ความเป็นจริงแล้วสมองกลวงตัดสินอะไรตามอำเภอใจ ไร้ความยุติธรรม สิ่งเหล่านี้มันเป็นสิ่งที่อเมริกาพยายามบอกชาวโลกมาตลอด ครั้งหนึ่งหลังจากที่ประชาชนชาวอิยิปต์ สามารถโค่น “ออสนี มูบารัค” ได้สำเร็จ อเมริกาก็ตบหน้าชาวอิยิปต์ด้วยการแสดงความยินดีในหน้าฉาก แต่ก็มีคำพูดมีทิ้งท้ายที่แปลความได้ว่า “ล้มมูบารัคไปแล้ว พวกมึงจะมีปัญญาทำอะไรต่อ” หนังเรื่องนี้พยายามสร้างความมั่นคงให้กับจักรวรรดิอเมริกา ด้วยการบอกว่า “ปฏิวัติประชาชน เกิดขึ้นได้ก็เพราะมีวายร้ายตัวหนึ่งมันหนุนหลัง” มันคือวิธีการที่โลกทุนนิยมปกป้องตัวเองในยุคโลกาภิวัตร

อ่านมาถึงตรงนี้ บางท่านอาจจะบอกว่านี่มันหนัง Super hero หรือว่า หนัง politics กันแน่นะ แต่ถ้าใครเป็นแฟนแบทแมนในฉบับของคริสโตเฟอร์ โนแลนด์ จะรู้ว่านี่แหละครับที่ทำให้แบทแมน ต่างจากยอดมนุษย์ไฟฟ้า!!! มันไม่ใช่หนังอีโร่ปัญญาอ่อน แต่มันเป็นหนังที่ต้องปีนบันไดดูกันบ้าง ไม่ถึงกับบันไดสูงอะไรหนักหนา เพราะยังไงก็ยังต้องรักษาความเป็นแอ๊คชั่นเอาไว้ แต่ก็ยังคงต้องการรอยหยักในสมองของคนดูบ้าง ถ้าไม่พร้อมก็อยุ่บ้านดู Thailand got talent ไปก่อนครับ ไม่ได้จะว่าใครนะครับ แต่สมัยนี้ค่าดูหนังมันแพง ไม่อยากให้ใครเสียเงินเปล่า หนังดีอาจไม่ใช่หนังสนุก เพราะความสนุกของแต่ละคนมันไม่เหมือนกันครับ หลังๆโรงหนังในบ้านเราไม่เอาเอาหนัง Oscar nominee มาฉาย คือถึงจะเอามาก็จะเอามาตอนมันได้รางวัลแล้ว เพียง หนึ่งถึงสองเรื่อง ไม่ครบทุกเรื่องเหมือนเมื่อก่อน ..เพราะมันไม่ใช่ความสนุกของคนดูบ้านเราครับ ก็เข้าใจว่าโรงหนังก็คงไม่อยากจะขาดทุนหรอก

ในเมื่อแบทแมนภาคนี้จะเป็นภาคสุดท้ายแล้ว ผู้กำกับจึงพยายามปูพื้นตัวตายตัวแทนขึ้นมา ในเรื่องจึงมีการ introduce  เซเรน่า ไคลน์ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “Cat woman” รวมถึงหนุมน้อย Robin อีกด้วย ถ้าดูกันดีๆจะเห็นว่า บทของ Cat woman (แอนน์ แฮทธาเวย์) ค่อนข้างจะขาดๆเกินๆ ถ้าตัดเธอออกไปจากหนัง ก็จะสามารถดำเนินเรื่องได้โดยไม่มีอะไรเปลี่ยน เธอมีจุดเชื่่ิอมที่สำคัญคือ เป็นผู้ขโมยลายนิ้วมือของ บรูซ เวย์น ไปให้วายร้ายเบน แค่นั้นจริงๆ เพราะที่เหลือเป็นฉากการต่อสู้ที่ไม่ค่อยมีความสำคัญอะไร  ส่วนโรบินนั้นมีบทบามที่เหมาะกำลังดี เป็นตัวเล่าเรื่องเลยก็ว่าได้ เพราะฉากสำคัญๆจะตามไปกับตัวเขาตลอด



ถึง Cat woman จะบทน้อย แต่ด้วยฝีมือและความเซ็กซี่ของ แอนน์ แอทธะเวย์ ก็เรียกได้ว่าเธอทำให้หนังดูมีสีสันมากขึ้นครับ เรียกได้ว่าเป็น Cat woman ที่ดูมิมิติมากขึ้น ไม่ใช่แบบราบเหมือนแต่ก่อน

วายร้ายเบน รับบทโดย ทอม ฮาร์ดี้ แสดงได้โหดแบบสุดขีด มันน่าเสียดายครับ ที่อยู่ๆ แบทแมน ซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะสู้กับวายร้ายเบนได้เลย บังเอิญไปพบจุดอ่อนของเบนเข้าให้ หลังจากนั้นพระเอกของเราก็เอาชนะวายร้ายตัวพ่อที่โคตรจะร้ายในตอนแรกได้โดย ง่ายดาย ตรงจุดนี้อาจทำให้หลายคนหงุดหงิด แต่ผมว่าเป็นความจำเป็น เพราะถ้าไม่ลดบทบาทของวายร้ายเบนลงไป จะไม่มีโอกาสได้เปิดหน้าวายร้ายตัวจริงที่อยู่หลังเบนอีกที!!! แต่ก็อีกนั่นแหละ ถึงจะเปิดตัวผู้อยู่เบื้องหลังเบนให้ออกมาหน้าฉากได้ แต้ก็มีบทบาทที่น้อย และมีจุดจบที่เร็วเกินไป ผมว่านี่คือส่วนที่จะลดคะแนนของหนังเรื่องนี้ลงไปครับ อาจะเป็นเพราะว่าตัวละครมาก วายร้ายเองก็มีตัวร้ายกว่าอยู่เบื้องหลัง พระเอกก็มีสองบุคลิคทั้งเวย์นและแบทแมน ตำรวจก็มี ผบ.ตร.คนเก่า กับคนที่ขึ้นมาชิงดีชิงเด่น และยังเปิดตัวฮีโร่ไหม่อีกสองคนคือ cat woman และ robin ตัวละครทุกบทมี double ทั้งนั้น จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่า มันบริหารยาก และมีขาดๆเกินๆอยู่

โดยสรุป Batman -The Dark Knight Rises เป็นหนังที่ไม่ควรพลาด ถ้ายังชอบ The Dark Knight อยู่ เรื่องนี้อาจมีเหลี่ยมมุมน้อยกว่า แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือสีสันที่มากขึ้น และยังคงเป็นหนังฮีโร่ ที่คนดูต้องขบคิดอยู่เหมือนเดิม รวมทั้งคุณอาจมีเหตุผลในการดูอีกข้อหนึ่งตรงที่ ไปทำความรู้จักกับ Cat woman และ Robin เพื่อดูภาคต่อๆไปได้สนุกยิ่งขึ้น
ระดับความน่าดู: (4.5 จาก 5)

Source(ที่มา): http://www.smileyfox.com/