วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ว่ากันว่า "โลกจะแตก"

ช่วงนี้กระแส "โลกแตก" มันกลับมาใหม่ มีการนำคำทำนายของ"นอสตราดามุส" มา  Remix ใหม่ .. หรือจะเรียกว่า Cover ใหม่ดี?? จะเรียกยังไงเนื้อหาก็ยังเป็นแนวดราม่าเหมือนเดิม!! ชีวิตนี้จบสิ้น ก็เพราะโลกมันจะแตกในอีก 2 ปี แค่นั้นไม่พอ ยังไปสอดคล้องกับตำนานของชาวมายัน เนื่องจากฏิทินของชาวมายันจะไปจบวันสุดท้ายในเดือนธันวาคมปี 2012 ว่ากันว่าจะเป็น "วันสิ้นโลก" ..แต่ว่า ถ้าเป็นปฏิทินของชาวยันม่าจะยังไม่จบ กล่าวคือพวกกรูต้องไถนาต่อไป (ยันม่าคือคู่แข่งของคูโบต้านั่นเอง)



แถม ด้วยโปรโมชั่นฮ๊อต ๆ ในเดือนและปีเดียวกัน ยังจะเกิดปรากฏการณ์ดาวเรียงตัวกันเป็นแนวเส้นตรง!! อุ..แม่..จ้าววววว ว่ากันว่ามันจะเกิดภัยภิบัติ โกลาหล-อลหม่านไปทั่วโลก  ..ตามต้นตาลแถวเมืองเพชรก็เอากับเขาด้วย เห็นเขาติดป้ายไว้ว่า "วันพิพากษากำลังจะมาถึงแล้ว" บางต้นก็เขียนว่า "ผู้ที่เชื่อเราเท่านั้นจะรอด" แม้แต่ในเฟสบุ๊คผมก็ยังอุตสาห์มีคนมาติดป้าย(Tag) "คุณอย่างมีรายได้เดือนละ 80,000 ติดต่อเรา Global Advertising Co., Ltd." อืม เฟสบุ๊กไม่ใช่เสาไฟฟ้านะ(โว๊ย) จะติดแท็กโฆษณาไปหาพระแสงทำไม  ... กระทั่งนักวิทยาศาสตร์ก็ไม่ตกรถไฟ (เทรน) มีคำทำนายว่าโลกร้อนมาก ..(แต่ลำปางจะยังหนาวมากอยู่) จะเกิดน้ำท่วม คลื่นสูง อากาศวิปริต ลานิญญ่า เอลนิโย่ โปเตโต้ บอดีสแลม บลา บลา บลา แต่ที่แน่ ๆ ฟังนักวิยาศาสตร์ทำนายแล้วกรูรำคาญมวากกกก (มวาก อ่านว่า มู-อะ-วากกก แปลว่า มากโคตรๆ, ทำปากจู๋ๆ เวลาอ่านด้วย) เพราะนักวิทยาศาสตร์ย่อมต้องอธิบายอะไรให้เป็นวิทยาศาตร์ แต่ดันทลึ่งไปอธิบายสิ่งที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ โดยพยายามอย่างเต็มที่ที่จะอธิบายให้เป็นวิทยาศาสตร์ อ่านแล้วงง ๆ ...จริง ๆ ผมก็งงมาตั้งแต่ตอนฟังเขาพูดแล้วแหละ



ที่ จริงก็ๆมิได้อยากจะสนใจ คำทำนายทั้งหลายเหล่านั้นสักเท่าไหร่ แต่บังเอิญมีคนนำเอา "พุทธทำนาย" มาสร้างกระแสปะปนกับคำทำนายโลกแตกไปด้วย แถมยังพูดออกทีวีให้ชาวบ้านกลัว สำหรับการอ้างพุทธทำนายนี่ คนใจร้อนอย่างผมฟังแล้วอดที่จะไม่เขียนไม่ได้ ไม่งั้นเดี๋ยวจะกินข้าวไม่ลง แถมท้องผูกไป 7 วัน จะไม่ดีต่อสุขภาพ ..วันนี้จึงละทิ้งบล๊อก "ภาษาปะกิต วันละคำสองคำ" เป็นการชั่วคราว มาเกาะกระแสโลกแตกกับเขาบ้าง

เริ่มกันที่ดาวเรียงกัน 5  ดวง ก็เคยเกิดมาหลายครั้งแล้ว --อันนี้ไม่มีน้ำหนักไดๆ อย่าไปสนใจมันเลย ไม่เขียนด้วย(เว้ยย ..ฮิ๊วววว)

จริง ๆ แล้วนอสตราดามุส ไม่ได้บอกว่าโลกจะแตกวันไหน แต่พวกนักตีความ ไปตีความไปเองว่าเป็นปีโน้นปีนี้ แต่พอมันไม่ใช่ เดี๋ยวพวกนักตีความสายอนุรักษ์โลก ก็จะนำคำทำนายกลับมา Recycle ตีความเป็นปีอื่นไปได้อีก ช่วยลดพลังงานในการคิด ประหยัดไฟ ประหยัดน้ำมัน ลดโลกร้อนไปได้ เย้ ..ดีใจด้วย

เท่า ที่ผมจำความได้ จากคำทำนายของนอสตราดามุสนี่โลกจะแตกตั้งแต่ปี 1997 มันไม่แตก ก็เลื่อนไปปี 1999 ยังไม่แตกอีกใช่ไหม ปี 2000 ก็ได้ฟะ!! พอดีมันมี Y2K อีกด้วย เคยอ่านหนึ่งสือของ "อ.เจริญ วัฒนสิน" ถอดรหัสออกมาว่าโลกจะแตกเพราะ "คอมพิวเตอร์" โอว ..มันช่างสอดคล้องกับ Y2K พอดี สมัยนั้น ผมยังเป็นคนดี เชื่อคนง่าย ก็พลอยตกอกตกใจไปกับเขาด้วย พลางคิดว่ารีบย้ายสาขาไปเรียนคอมฯดีกว่า จะได้รู้ทันลอร์ดคอมพิวเตอร์ ผู้ครองโลกต่อจาดลอร์ดดาร์กเวเดอร์อีกที 5555 ..แล้วตอนนี้โลกแตกของนอสตราดามุส ก็ได้เลื่อนมาแตกในปี 2012 พร้อม ๆ กับคำทำนายของชาวมายัน ...ไม่ต้องตกใจครับ เดี๋ยวมันจะเลื่อนออกไป อีก 3-4 ปีข้างหน้า เมื่อกระเหรี่ยง KNU ออกคำทำนายว่าโลกจะแตก เพราะเสด็จพ่อคิมแห่งเกาหลีเหนือทำโรงงานนิวเคลียร์ใต้ดินระเบิด!!



ที่นี้ มาดูของทางพุทธศาสนากันดูบ้าง ผมขอไม่คัดลอกเนื้อความมาลง มันยาวประมาณสี่หน้ากระดาษได้กระมัง ไปหาอ่านได้ตามวิกิพิเดีย ตามพุทธทำนายก็ไม่ได้ระบุว่าปีไหน แต่ใช้คำว่า "กึ่งพุทธกาล" ซึ่งไม่ได้บอกว่าโลกจะแตก แต่บอกว่า(แปลแล้ว) จะเกิดสงครามของคนนอกศาสนา(นอกศาสนาพุทธ) ลูกไฟจะพวยพุ่งจากน้ำสู่อากาศ (เรือรบยิงมิไซล์ไปที่เครืองบิน??) ยักษ์หินจะตื่นจากหลับ (อเมริกาเริ่มเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 จากที่ตัวเองไม่ยุ่งในตอนแรก)  --โดยสรุปไม่ได้บอกว่าโลกจะแตก

*เรื่องพุทธทำนายนี้ ไม่ได้มีระบุไว้ในพระไตรปิฏก ทั้งสามเล่ม แต่มีการขุดค้นพบที่หลัง*

คำ ว่ากึ่งพุทธกาลนั้น ถ้ายึดตามพระไตรปิฏก บอกว่าอายุของพุทธศาสนาแห่งพระสมณโคดมจะดำรงอยู่ 5000 ปี ดัังนั้งกึ่งพุทธกาลก็คือ 2500 แต่ถ้าคิดดูอีกที คำทำนายไม่ได้บอกว่าต้องกึงพุทธกาลแบบเป๊ะๆ ลองคิดดูว่านับ 1 ถึง 5000 แล้วเราพูดว่าบริเวณตรงกลางระหว่างจำนวนนั้น มันอาจจะตีความได้ตั้งแต่ 2400-2600 ก็ได้ คือบวกลบอย่างละ 100 คร่าว ๆ สงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดในช่วงนี้ หรืออาจจะมีสงครามอะไรมาเกิดอีกก็ได้ เพราะยังไม่ถึง พ.ศ. 2600 เลย --ถ้ายึดตามนี้ หมายความว่า ถ้าคำทำนายไม่ได้หมายถึงสงค่ามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงชีวิตเรา อาจมีโอกาสจะได้เห็นสงครามใหญ่ ๆ ที่ใหญ่กว่าสงครามโลกครั้งที่ 2

ตาม พระไตรปิฏกกล่าวไว้ว่า โลกเกิดมาและดับไป รวมเวลาเรียกว่า 1 กัปป์ คำว่า 1 กัปป์นี้มันนานจนนับไม่ถูก ท่านเปรียบเทียบว่า ถ้าใน 1 ปี มีนางฟ้า 1 องค์ บินโฉบไปที่เขาสิเนห์รุ (เขาพระสุเมรุนั่นเอง) ใช้ผ้าขาวบางปัดยอดเขา 1 ที ทำไปทุกปี ๆ ปีละครั้ง จนกระทั้งเขาสิเนห์รุนั้นเรียบไปกับพื้นดิน นั้นแหละคือระยะเวลา 1 กัปป์ ตอนนี้ไม่รู้มันกินเวลาไปกี่เปอร์เซ็นต์ของกัปป์แล้ว เพราะไม่มีปัญญาจะนับ แต่มีพระนักปราชญ์รูปหนึ่ง (ขอโทษ ผมจำชื่อไม่ได้ครับ) บอกว่า 1 กัปป์ จะมีจำนวนปีเท่ากับ เขียนเลขสิบลงไป แล้วตามด้วย 0 อีก 140 ตัว (บางตำราว่า 10 ยกกำลัง 140 ปี)

ในพระไตรปิฏกยัง บอกอีกว่า การจะสิ้นกัปป์ จะมีไฟบรรลัยกัลป์ เผาผลาญทุกสิ่งบนโลก จะมีดวงอาทิตย์ถึง 7 ดวง ทำให้ความร้อนเผาโลกไปเป็นจุล และไม่ได้เผาแต่โลก เผาสวรรค์ทั้งหมดจนถึงชั้นพรหมไปด้วย (เทพ 6 ชั้น พรหม 16 ชั้น) ดังนั้น..ถ้าเรายังเห็นพระอาทิตย์ดวงเดียวแปลว่าโลกยังไม่แตกหรอกครับ ไม่ต้องห่วง กร๊ากกกกกกกกก (เรื่องดาวเกิดใหม่ รวมทั้งดวงอาทิตย์เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ทางวิทยาศาสตร์ แต่ก็มีนักปรัชญาบางท่านก็ตีความว่าข้อความในพระไตรปิฏกนั้นเป็นการทำนายถึง ปัญหาโลกร้อน ...ปัญหามันก็อยู่ที่คนตีความนี่แหละ มันชอบเก่งกว่าต้นตำหรับ เก่งกว่านอสตราดามุส เก่งกว่าพระพุทธเจ้า เก่งกว่าชาวมายัน แต่มันก็ไม่เคยถูกเลย 555)

ใน พระไตรปิฏกยังบอกอีกว่า ในกัปป์นี้เป็นกับปป์ที่เรียกว่า "ภัทรกัปป์" กล่าวคือจะเป็นกัปป์ที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นถึง 5 พระองค์ คือ พระพุทธเจ้ากกุสันโธ พระพทุธเจ้าโกนาคม พระพทุธเจ้ากัสปะ พระพุทธเจ้าโคตมะ พระพุทธเจ้าศรีอาริยะ ซึ่งในยุคของเราเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 4 (พระสมณะโคดม หรือ พระพุทธเจ้าโคตมะ นั่นเอง) ดังนั้นกัปป์นี้จะยังไม่สิ้นถ้ายังไม่หมดยุคของพระศรีอาริย์ หรือ พระพุทธเจ้าพรงองค์ที่ 5 แห่งภัทรกัปป์

อนึ่งเมื่อพูดถึงเรื่องภัทรกัปป์ อันเป็นกัปป์ที่จะมีพระพุทธเจ้าอุบัติถึง 5 พระองค์แล้ว ยังมีกัปป์ประภทอื่น ๆ ดังนี้ :-

1) สุญญกัปป์ หมายถึง กัปป์ที่ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (แต่อาจจะมีพระปัจเจกพุทธเจ้า หรือพระเจ้าจักรพรรดิก็ได้)
2) สารกัปป์ ได้แก่ มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น 1 พระองค์
3) มัณฑกัปป์ มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น 2 พระองค์
4) วรกัปป์ มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น 3 พระองค์
5) สารมัณฑกัปป์ มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น 4 พระองค์
6) ภัทรกัปป์ มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น 5 พระองค์

แล้ว ถ้าใครบังเอิญมาบอกว่า พระศรีอารย์ได้อุบัติแล้วเป็นคนโน้นคนนี้ หรือจะมาในเร็ว ๆ นี้  ยังก่อน .. อย่างเพิ่งเชื่อ เพราะว่า ในพระตรปิฏก(อีกแล้ว 555) บอกไว้ว่า ก่อนจะถึงกาลแห่งพระศรีอารย์ เริ่มแรกต้องหมดศาสนาของพระสมณะโคดมเสียก่อน ก่อนจะครบ 5 พันปี ยังมีพระสงฆ์รูปสุดท้าย ซึ่งสมัยนั้นไม่ได้ห่มจีวรกันเป็นชิ้นเป็นอันแล้ว ศีลก็ไม่ครบ 227 ข้อ ลักษณะการแต่งการคล้ายคนทั่วไปในสมัยนั้น ซึ่งเป็นยุคที่คนเปลือยกาย หรือใส่เสื้อผ้าแค่น้อยชิ้นกันหมดแล้ว!! แต่จะยังมีสัญลักษณ์บอกได้ว่าเป็นพระสงฆ์ คือมีผ้าชิ้นเล็ก ๆ สีเหลืองห้อยอยู่ที่หู (จีวรฉบับย่อ) วันหนึ่งพระรูปนั้นก็๋รู้สึกว่า นี่เราจะเอาผ้าเหลืองมาห้อยหูทำติ่งอะไรฟะ เกะกะมวากก!! กุถอดทิ้งไปดีกว่า ชิมิชิมิ (สมัยนั้นภาษาวิบัติสุด ๆ แล้ว 555) จากนั้นศีลธรรมของผู้คนจะเสื่อมกันสุด ๆ ส่งผลให้มีอายุขัยสั้นลงเรื่อย ๆ ผ่านไปหลายล้านปี อายุขัยมนุษย์ก็เหลือแค่ 10 ปีโดยเฉลี่ย ผู้หญิงจะท้องได้ตั้งแต่ 8 ขวบ ร่างกายก็เล็กลงจนกระทั้ง จะกินมะเขือพวงสักเม็ดสองเม็ดยังต้องใช้ใม้สอยเอา (เตี้ยกว่าหมากระเป๋าอีกว่ะ)

ผู้คน เริ่มเหมือนสัตว์ กล่าวคือกัดกันเองโดยสัณชาติญาณ พูดคุยกันดี ๆ อย่างผู้มีปัญญาไม่ได้แล้ว (คุ้น ๆว่าเคยเกิดขึ้นแล้วในปี 2010 ในประเทศแถบเอซียตะวันออกเฉียงใต้) ในที่สุดก็เกิดแบ่งเป็นสองฝ่าย(เฮ้ย..คุ้นอีกแล้ว) ฆ่ากันตายไปมาก คนดี ๆ ยังมีอยู่ แต่ว่าอยู่ไม่ได้ ต้องหนีเข้าป่าไป ในที่สุดชาวเมืองก็ฆ่ากันตายไปฝ่ายละครึ่ง แล้วจึงเกิดสลดสังเวชใจ ก็หยุดฆ่ากัน คนที่เข้าป่าไปก็ออกมา แล้วจึงเริ่มระรึกถึงความดี สังคมก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ จนเวลาผ่านไปนานนับล้านๆปี ร่างกายของมนุษย์ก็ค่อย ๆ กลับมาสูงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนมีขนาดความสูงถึง 80 ศอก และมีอายุขัยยืนยาวมากขึ้น ถึง 80,000 ปี ในช่าวเวลานั้นพระศรีอาริยเมตตรัย จึงเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดุสิต มาอุบัติในพระครรภ์มารดาบนโลกมนุษย์ เป็นยุคที่โลกเจริญรุ่งทางศีลธรรมมาก มนุษย์ก็พ้นจากวัฏฏสังสารกันไปมาก และเมื่อสิ้นอายุของศาสนา มนุษย์ก็ค่อย ๆ เสื่อมลงเรื่อย ๆ จจกวลาผ่านไปหลายล้าน ๆ ปี จากนั้นวันสิ้นกัปป์ (สิ้นโลก) จึงจะเกิดขึ้น เมื่อมีพระอาทิตย์ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า 7 ดวง

ใน ทุกวันนี้เรามักพูดจะพูดถึงยุคพระศรีอารย์กันอย่างฝันเฟื่อง มันคงจะเร็วไป เพราะเรายังอยู่ในยุคของพระพุทธเจ้าสมณโคดมกันอยู่เลย เมื่อพูดถึงวันสิ้นโลก ถ้าตีความหมายว่าโลกจะแตก คงต้องบอกว่าไกลเกินกว่าจะจินตนาการ แต่ถ้าหมายถึงภัยภิบัติขนาดใหญ่ ผมว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติที่มันเกิดขึ้นมาเรื่อย ๆ ในแต่ละยุค แต่ละสมัย ซึ่งเป็นไปตามกฏแห่งกรรมอยู่แล้ว


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น