วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2555

ภาษาพาเพลิน ตอน "Keep your finger crossed"

โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ตลอด แม่แต่หมอดูที่ว่ากันว่าเก่งที่สุด ก็ยังทายผิดกันได้ เมื่อความแน่นอนมันกลายเป็นความไม่แน่นอน บางครั้งเราก็ต้องอาศัยโชคช่วย และนี่เองที่ทำให้มนุษย์เราอายพรให้กันด้วยคำว่า "ขอให้โชคดี" และคำที่เราได้ยินบ่อยๆในภาษาอังกฤษคือคำว่า "Good luck" ยังมีคำอื่นๆอีกหลายคำที่ใช้อวยพรให้โชคดึ

ผมเคยเขียนสำนวน "Break a leg" ซึ่งมันแปวว่าขอให้โชคดีเช่นกัน แต่ใช้กันในหมู่ศิลปินที่จะอวยพรกันก่อขึ้นเวทีโดยเฉพาะ ในวันนี้เราจะมาคุยกันถึงสำนวนเกี่ยวกับการอวยพรอีกสำนวนหนึ่ง "cross fingers" ซึ่งหมายถึงการอวยพรให้โชคดี เช่นเดียวกัน โดยปกติจะพบเห็นการใช้งานอยู่สองรูปแบบตือ "Cross fingers" และ "Keep fingers crossed" โปรดสังเกตุว่า ในแบบหลังนั้น กริยา crossed จะต้องมี -ed ด้วย และ fingers จะอยู่ในรูปพหูrจน์เสมอ (ต้องเติม s) ทั้งนี้เพราะว่าจำเป็นต้องใช้สองนิ้วจึงจำสามารถทำ Cross fingers

ตัวอย่าง
- We're crossing our fingers and hoping that the project implementation will be fine.
- Keep your fingers crossed, everyone, Jane's only got to answer one more question.
- What done is done, now you need those fingers for crossing.

โดยปกติจะเห็นได้น้อยมาก ที่คนพูดประโยค Cross fingers พร้อมกับทำนิ้วไขว้จริงๆ แต่เข้าใจว่ามันคงไม่ผิดอะไรครับ ลักษณะของ

การทำ Cross fingers จะใช้นิ้วกลวงไขว้มาบนนิ้งชี้ เป็นสัญลักษณ์อันเดียวกับ "อุ๊บอิ๊บ" ที่บ้านเราใช้กัน อุ๊บอิ๊บ ของเรามีความหมาย

เพื่อเป็นการบอว่า ที่พูดไปเมื่อกี้นี้ไม่นับนะ (ฉันโกหก) ซึ่งต่างกันโดนสิ้นเชิงกับความหมายของฝรั่ง

สัญลักษณ์นี้มีต้นกำเนิดมาจาการเชื่อในพระเจ้าของชาวคริสต์ มันเป็นสัญลักณ์ที่ใช้ในการวิงวองขอพระผู้เป็นเจ้า ให้ทำการปกป้องและคุ้มครองจากอันตรายเภทภัยต่างๆ ตลอดจนขอพระเจ้าอำนวยพรให้โชคดี ในบางส่วนจะใช้เมื่อเกิดการ 'โกหกสีขาว" หรือที่เรียกว่า "White lie" ซึ่งก็คือการโกหกอย้่างมีเจตนาดีและไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น ผู้พูดโกหกก็จะทำ Cross fingers ในขณะที่พูดหรืออาจจะทำหลังจากพูดทันที ซึ่งมันก็จะคล้ายๆ "อุ๊บอิ๊บ" ในบ้านเรานั่นเอง เพราะชาวคริสต์เชื่อกันว่า การไขว้นิ้วนี้จะเป็นขอพลังจากพระปู้เป็นเจ้ามาคุ้มครองไม่ให้ตกนรกจากการพูดโกหก ต้นกำเนิดความเชื่อของคริสเตียนตรงนี้ สันนิษฐานว่ามาจากภาพวาดอันลื่อลั่นทีชื่อว่า "The last supper" ซึ่งในภาพนั้นพระเยซูได้ทำท่า Cross finger โดยที่สายตาจับจ้องไปเบื้องบน




วันนี้คุณได้รู้จักกับสำนวน Cross finger ที่ใช้ในการอวยพรให้โชคดี

Keep your fingers crossed, until we meet again. สวัสดีครับ

วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555

รวมคำที่แปลว่าสวยๆงามๆ เอาไว้ชมแฟนตัวเอง ตอนที่ 1

วันนี้เรามาพูดถึงอะไรสวยๆงามๆ ให้โลกมันน่าอยู่บ้างดีกว่าะครับ จะว่าไปแล้ว ถ้าจะพูดถึงความสวยงาม เรามักจะใช้บ่อยๆกับคำว่า "Beautiful" เท่านั้น มันยังมีคำอื่นๆอีกหลายๆคำ ที่ความหมายใกล้เคียงกัน อย่าง "Beau" อ่านว่าโบนะครับ อย่างไปเผลอ่านว่าบิวหรือบาว เคยเจอคนอ่านอย่างนี้มาแล้วจริงๆ แต่ใครมันจะไปรู้ทุกอย่างมาจากท้องพ่อท้องแม่ ไม่ใช่ภาษาบ้านเรา มันก็ผิดกันได้ อย่าไปซีเรียสเลย เรามาดูกันที่ละคำเลยครับ

Anne Hathaway แบบนี้จะเรียกว่าสวยแบบไหนดีนะ


Beautiful แปลว่าสวย อันนี้ใช้ได้กับสวยทั่วๆไป นอกจากสวยแล้วยังแปลว่าไพเราะอีกด้วย เช่น ถ้าพูดว่า "Marie has a very beautiful voice" ก็หมายความว่ามาริเอะมีเสียงที่ไพเราะมากๆ ในปัจจุบันนี้เราอาจจะเรียกว่าเสียงสวยก็ได้ครับ ถือว่าอณุโลมใช้ได้ แต่ในความเป็นจริง เสียงสวยไม่ได้ เพราะเสียงไม่มีรูปให้มองเห็น เอาจริงๆแล้วจะไม่ถูกตามหลักภาษาไทย ..แต่ช่างมันเถอะ ตำรามันเขียนที่หลัง ถ้าพูดกันจนเป็นปกติ ตำรามันจะอัพเดทตามคนพูดเอง ..จริงๆนะ ไม่ได้พูดเล่น มันเป็นความจริงที่คนมองข้าม แต่มันจริงเสมอ

Cute อันนี้ก็อ่านผิดกันบ่อยนะครับ ต้องอ่านว่า "คิวท์" ไม่ใช่ "คู๊ท" หรือ "คัท" อันนี้ก็เคยเจอคนอ่านผิดมา อาการหนักกว่าคำว่า Beau อีก เพราะคนที่อ่านผิดเป็นนักศึกษาปริญญาโทหลักสูครนานาชาติเลย ..ก็ไม่ได้ยกตัวอย่างมาเยอะเย้ยกันนะ มันผิดกันได้ทุกคนครับ ยกตัวอย่างให้เห็นว่าคนเรียนปริญญาโทหลักสูตรนานาชาติยังอ่านผิดได้ แล้วเราทำไมจะอ่านผิดไม่ได้ล่ะครับ จะได้มีกำลังใจไง Cute แปลว่าน่ารัก ถ้าผู้หญิงที่หน้าตาจิ้มลิ้ม ไม่ได้สวยเหมือนนางงาม แต่ก็ดูน่านัก ๆ เราจะชมเธอว่่า "She 's so cute" ก็ได้นะครับ

Pretty คำนี้ก็เป็นอีกคำที่แปลว่าน่ารักอีกคำหนึ่ง ถ้าถามว่าแล้วมันต่างจาก Cute อย่างไร อันนี้ตอบยากครับ ผมขอว่าไปตามที่เคยเห็นเขาใช้กันนะคับ ผิดถูกอย่างไรถ้าอยากทราบจริงๆ อาจะต้องไปค้นคว้าอีกที คือคำว่า "Cute" ผมเห็นว่าเขาใช้ขมได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิงครับ ชมได้เป็นการทั่วไป แต่ Pretty นี่ใช้กับผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ ใช้กับผู้ชายในกรณีเฉพาะถ้าผู้ชายคนนั้นหน้าหวานมากๆ ประมาณกอล์ฟ-ไมค์ หรือนิชคุณ เราถึงจะเรียกว่าเป็น "Pretty boy" ได้ ผู้ชายหน้าตาอย่างป๋อ นัฐวุฒิ เราอาาจชมว่า Cute ได้ แต่ชมว่า Pretty ไม่ได้ครับ แต่จำไว้ว่าผู้ชายชมผู้ชายว่า cute ไม่ได้นะครับ เพราะมันจะฟังคล้ายๆกับเป็นคู่เกย์ ผู้หญิงชมผู้ชายว่า cute ได้ครับ

Marie Digby นี่ก็สวยไปอีกแบบครับ
Adorable คำนี้ก็แปลว่าสวยครับ แต่เป็นคำที่ใช้กับผู้ชายได้ด้วย ในภาษาไทยเราไม่ชมว่าผู้ชายสวย ในภาษาอังกฤษเราก็ไม่ชมผู้ชายว่า Beautiful เช่นกัน แต่ถ้าเป็นคำว่า adorable เราใช้ชมได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย บางทีก็แปลว่า "น่าหลงไหล" ครับ จริงๆแล้ว มันแปลได้ว่า สวย/หล่อ/น่าหลงไหล/น่าชื่นชม แล้วแต่บริบทครับ เวลาเจอผู้ชายที่หน้าตาธรรมดาบุคลิคขรึมๆแต่ดูแล้วมาดดี อย่างนี้จะชมว่า Cute ก็ไม่เหมาะ Beautiful ยิ่งไม้ได้ ก็ใช้ว่า "He's so adorable" ก็ได้ครับ

Gorgeous อ่านว่า "จอร์เจียส" หรือ "กอร์เจียส" แปลว่าสวย(อีกแล้ว) แต่อันนี้จะสวยออกไปทางสวยหรู ดูโอ่อ่า ใช้ชมสิ่งของที่หรูๆ ก็ได้ครับ ถ้าชมผู้หญิง มันใกล้เคียงกับคำว่า "สวยเริ่ด" และคำนี้ไม่ใช้ชมผู้ชายอย่างเด็ดขาด

Stunning คำนี้ก็แปลว่าสวย และผมชอบมากที่สุดเลยครับ มันให้ความรู้สึกว่า สวยจริง สวยอย่างกับนางฟ้า คือมันสวยแบบว่าตะลึง ประมาณว่ามันสวยขนาดนี้เลยเหรือ สวยจนต้องทึ่งประมาณนี้แหละครับ ไม่ได้ใช้ชมคนอย่างเดียวนะ จริงๆใช้ชมสิ่งของมากกว่าคนเสียด้วยซ้ำไป นึกถึงงานแกะสลักน้ำแข็งที่สวยจนน่าทึ่ง เราใช้คำว่า Stunning ได้อย่างเหมาะที่สุดเลย

ผมว่ามันชักจะยาวๆแล้ว คือผมรู้มาว่าคนไทยไม่ชอบอ่ายอะไรยาวๆ ผมขอต่อตอนสองดีกว่า คือคำว่าสวย/งาม/น่ารัก/ดูดี/หล่อ มีอีกเป้นกระบุงไม่ตำกว่า 20 คำ แบ่งๆไปเขียนวันหลังบ้างละกันครับ

วันนีคุณได้เรียนรู้ศัพท์ Gorgeous, Adorable, Pretty, Cute, Beautiful, และ Stunning ซึ่งทั้งหมดเอาไว้ชมความสวยงามของคน/สัตว์/สิ่ิงของ ซึ่งแต่ละคำให้ความรู้สึกต่างๆกันไป และบางทีใช้กับเพศที่ต่างกัน ก็ต้องเลือกใช้ให้ถุกนะครับ

แล้วพบกันใหม่ .. สวัสดี

วันเสาร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2555

หัวเราะภาษาเน็ตไม่ได้ มีแค่ LOL,LMAO,LMFAO นะจะบอกให้

ช่วงสองเดือนหลังนี้ มีผู้อ่านหลายๆ คน เขียนมาถามความหมายของ LMFAO รวมๆแล้วก็หลายคนอยู่ ผมได้ตอบแต่ละท่านไปทางอีเมลล์แล้ว แต่คิดว่าควรจะนำมาเขียนลงในบล๊อก ด้วย คนอื่นๆจะได้อ่านได้ด้วยครับ และเมื่อคิดจะเขียนแล้ว ก็ไม่ควรจะเขียนแค่ LMFAO คำเดียว วันนี้ผมจะรวมมิตร คำย่อทั้งหมด (เท่าที่ผมทราบ) ที่ใช้แสดงอาการหัวเราะ หรือยิ้ม .. มันคงไม่ถึงกับครบทุกคำในโลกหรอกครับ คำไหนที่ผมดูแล้วมีโอกาสน้อยที่จะได้เจอในชีวิตจริงก็ไม่เอามาลงครับ


LOL = Laughing out lound คือ หัวเราะเสียงดัง ใช้ได้ทั่วๆไป บ่อยๆได้ ขำนิดๆหน่อยๆก็ใช้ได้ ปล่อยมุขเองขำเองก็ได้
LMAO = Laughing my ass off ก็คือการหัวเราะแบบขำมากๆ ใช้กรณีที่เจออะไรตลกจริง ๆ หรือขำในการปล่อยไก่ของคนอื่น
LMFAO = Laugning my fucking ass off เหมือนกับ LMAO แต่มีดีกรีที่แรงกว่า คือขำมากกว่านั้นเอง ถ้าเราบอกว่า LMAO แปลว่าโคตรขำ แล้ว LMFAO ก็ควรจะแปลว่า "แม่งโคตรขำ"
ROFL = Rolling on the floor laughing คือขำจนไปนอนกลี้งอยู่กับพื้น จะเรียกว่า "ขำกลิ้ง" ก็คงได้ครับ บางทีก็ย่อว่า ROTFL ด้วยครับ และบางครั้งก็เอาทั้ง ROFLและ LMAO มารวมกัน แสดงอาการขำมากไปกว่าเดิมอีก กลายเป็น ROFLMAO
ROFL Copter คือขำมากกว่า ROFL เฉยๆ ครับ เหมือนกับว่าการกลิ้งบนพื่นไม่
ได้กลิ้งธรรมดา แต่มาโคตรกลิ้งเหมือนมีค๊อปเตอร์ติดที่หลัง
LTD = Laugh to death คือ "ขำให้ตาย" ตามดีกรีแล้ว มันขำมากกว่าทั้งหมดที่กล่าวมาครับ
XD = ไม่ได้ย่อมาจากอะไร แต่มันหมายถึงการยิ้มปากกว้างๆ
RUMBL = Roll under my bed laugh คือขำกลิ้งสุดๆ มากกว่า ROFL เพราะขำจนกลิ้งไปใต้เตียงเลย --มันก็ช่างจินตนาการกันเนอะ
FOCL = Fall of chair laughing คือหัวเราะจนตกเก้าอี้
FOCROFLMAOOL = Falling of chair rolling the floor laughing my ass off out lound คือมันรวมสารพัดขำยิ่งกว่
าขำขำจนตกเก้าอี้ไปแล้วยังไปกลิ้ิงอยู่กับพื้นอีก --สุดยอดจินตนาการจริงๆ
WPIP = Wetting pant in process อันนี้ขำจนฉี่จะราด (แต่ยังไม่ราดนะ)

วันนี้คุนได้เรียนรู้คำย่อที่
เกี่ยวกับการหัวเราะ ขำ และยิ้ม จะเห็นว่ามันมีมากกว่า LOL, LMAO, LMFAO ลองเอาคำอื่นๆไปใช้บ้างก็ได้นะครับ

แล้วพบกันใหม่ ...สวัสดี

วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

พิธีเปิดโอลิมปิกเกมส์ลอนดอน (Olympic games 2012 London)

พิธีเปิดโอลิมปิคเกมส์ลอนดอน (Olympic games 2012 London)



(คลิปอยู่ด้านล่างของบทความครับ)

มีข้อถกเถียงกันถึงความยิ่งใหญ่ใน พิธีเปิดโอลิมปิกเกมส์ 2012 ที่ลอนดอน เปรียบเทียบกับโอลิมปิกเกมส์ 2008 ที่ปักกิ่ง ผมขออนุญาตินำความเห็นของ Ai Weiwei แห่ง The Guardian มาให้พวกเราได้อานนะครับ มาดูว่าชาวจีนเขาคิดกันอย่างไรเมื่อเปรียบเทียบพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิกบ้านตัว เองเมื่อปี 2008 กับพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2012 ที่ลอนดอนครับ

 

Olympic opening ceremony:

Ai Weiwei’s review
The leading Chinese artist who withdrew from Beijing’s opening ceremony explains why London’s was very different

 

พิธีเปิดโอลิมปิก:

รีวิวสืโดย:Ai Weiwei
ศิลปินชั่นแนวหน้าของจีนซึ่งถอนตัวออกจากพิธีเปิดปักกิ่งเกมส์ ได้อธิบายว่าทำไมพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2012 ที่ลอนดอนถึงได้สร้างความต่างได้อย่างมากมายนัก

Brilliant. It was very, very well done. This was about Great Britain; it didn’t pretend it was trying to have global appeal. Because Great Britain has self-confidence, it doesn’t need a monumental Olympics. But for China that was the only imaginable kind of international event. Beijing’s Olympics were very grand – they were trying to throw a party for the world, but the hosts didn’t enjoy it. The government didn’t care about people’s feelings because it was trying to create an image.

มันเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยม ทำได้ดี และดีมาก นี่เป็นเรื่องราวของเกรทบริเตน (Great Britain) ไม่ใช่เป็นแค่การแสร้งทำเพื่อให้ชาวโลกหันมามอง เพราะว่าเกรทบริเตน มีความมั่นใจในตนเอง ไม่จำเป็นจะต้องสร้างความยิ่งใหญ่ให้โอลิมปิกกลายเป็นอนุสรณ์แต่อย่างได แต่สำหรับประเทศจีนนั้น พิธีเปิดโอลิมปิกมันเป็นอีเวนต์เดียวในระดับนานาชาติเท่าที่ผู้คนพอจะนึกออก โอลิมปิกที่ ปักกิ่งนั้นยิ่งใหญ่มาก จีนพยายามที่จะทำให้เป็นงานรื่นเริงของชาวโลก แต่ผู้จัดก็ไม่ได้พอใจกันมันนัก รัฐบาลไม่ได้สนใจต่อความรู้สึกผู้คน เพราะพวกเขาก็แค่ต้องการสร้างภาพ

In London, they really turned the ceremony into a party – they are proud of themselves and respect where they come from, from the industrial revolution to now. I never saw an event before that had such a density of information about events and stories and literature and music; about folktales and movies.

ในลอนดอน, พวกเขาเปลี่ยนพิธีเฉลิมฉลองให้ กลายเป็นงานรื่นเริง พวกเขามีความภูมิใจในตัวเอง และให้ความสำคัญกับรากเหง้าของตนเอง ตั้งแต่สมัยปฏิวัติอุตสาหกรรม จนกระทั่งปัจจุบัน ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน ที่การจัดงานครั้งไหนที่ประกอบไปด้วยสาระอันแน่นแฟ้น เกี่ยวกับเหตุการณ์, เรื่องราว, เรื่องทีผู้คนกล่าวขานกันมา, ดนตรี, และภาพยนต์ รวมกัน

At the beginning it dealt with historical events – about the land and machinery and women’s rights – epically and poetically. The director really did a superb job in moving between those periods of history and today, and between reality and the movies. The section on the welfare state showed an achievement to be truly proud of. It clearly told you what the nation is about: children, nurses and a dream. A nation that has no music and no fairytales is a tragedy.

ในช่วงเริ่มต้น เป็นการนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ด้วยบทกวีและเรื่องราวเกี่ยวกับแผ่นดิน เครื่องจักร และสิทธิสตรี ผู้กำกับประสพความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยม ในการเคลื่อนผ่านเรื่องราวระหว่างยุคที่เป็นประวัติสาสตร์ และความเป็นปัจจุบัน และระหว่างเรื่องราวความเป็นจริงกับเรื่องราวในภาพยนต์ มันคือความยิ่งใหญ่ที่ผู้คนจะภาคภูมิใจ และมันเป็นการแสดงที่จะบอกคนดูได้อย่างชัดเจนว่าความเป็นประเทศอังกฤษคือ อะไร ซึ่งมันก็เกี่ยวกับ เด็กๆ, การใส่ใจกับความรู้สึกผู้คน, และความฝันของผู้คน ประเทศไหนที่ไม่มีดนตรี ไม่มีนิยายแฟรี่เทล นับว่าเป็นประเทสที่น่าเศร้าสุดๆ

There were historical elements in the Beijing opening ceremony, but the difference is that this was about individuals and humanity and true feelings; their passion, their hope, their struggle. That came through in their confidence and joy. It’s really about a civil society. Ours only reflected the party’s nationalism. It wasn’t a natural reflection of China.

ในพิธีเปิดปักกิ่งเกมส์ มันก็มีส่วนประกอบที่เป็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อยู่เหมือนกัน แต่มันแตกต่างตรงที่ พิธีเปิดโอลิมปิกเกมส์ที่ นี่(ที่ลอนดอน) มันเกี่ยวกับเรื่องของบุคคล มวลมนุษยชาติ ความรู้สึก สิ่งที่ผู้คนหลงไหล ความฝันของพวกเขา การต่อสู้ดิ้นรนของพวกเขา ซึ่งได้ส่งผ่านออกมาในความเชื่อมั่นและความสุขของพวกเขา มันเป็นเรื่องราวจริงๆของผู้คนในอังกฤษ ในขณะที่พิธีเปิดที่จีนมันก็เป็นแค่งานรื่นเริงระดับชาติ ไม่ได้สท้อนถึงรากเหง้าของประเทศจีนเลย

Few of the people were performers. They were ordinary people who contribute to society – and if there is a celebration, then it should be for everyone from the Queen to a nurse. I feel happy that they can all have their moment to tell their story.
It was about real people and real events and showed the independent mind of the director, but at the same time it had so much humour. There was a strong sense of the British character.

ใช้คนแสดงน้อยมาก, พวกนักแสดงก็เป็นคนธรรมดาๆ ที่อาสามาทำงานให้กับส่วนรวม และเมื่อมีการเฉลิมฉลอง มันก็ควรจะเป็นการฉลองของทุกๆคนตั้งแต่พระราชินีจนถึงรากหญ้า ฉันรูัสึกดีที่ได้เห็นพวกเขามีช่างเวลาที่ได้สื่อเรื่องราวของตัวเองออกมา มันเป็นเรื่องราวของผู้คนจริงๆ เหตุกาณ์จริงๆ และยังแสดงให้เห็นว่าผู้กำกับได้รับอิสระทางความคิดในการที่จะสร้างผลงาน เช่นนี้ออกมา ใขณะเดียวกันมันก็สื่อถึงความมีอารมณ์ขันของคนอังกฟษได้อย่างดีอีกด้วย นี่แหละมันบ่งบอกเอกลักษณ์ของความเป็นอังกฤษเลย

The Chinese ceremony had so much less information and it wasn’t even real. It wasn’t only about the little girl who was miming – which was an injury to her and the girl whose voice was used – but that symbolically showed the nation’s future. You can’t trust or rely on individuals or the state’s efforts.

ในพิธีเปิดที่ปักกิ่งนั้น มีสาระน้อยมากๆ และไม่ได้เป็นสาระที่เป็นจริงด้วยซ้ำไป มันไม่ใช่แค่เรื่องราวลวงโลกที่เด็กหญิงออกมาร้องลิปซิงค์เท่านั้น นอกจากมันจะกลายเป็นความเสื่อมเสียไปที่เด็กสองคนแล้ว ก็ยังเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงอนาคนของชาติ คุณไม่สามารถเชื่อถืออะไรได้ทั้งเรื่องในระดับบุคคล หรือเรื่องที่รัฐจัดมาให้ก็ตาม

หมายเหตุจากผู้แปล: ในพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิกเกมส์ ที่ปักกิ่ง ปี 2008 มีเด็กน้อยออกมาร้องเพลงชาติได้เพราะมาก และมันทำให้เธอดังไปทั่วโลกในชั่วข้ามคืน แต่ไม่มี่วันต่อมาก็ปรากกความจริงว่า แท้จริงแล้วม่ใช่เสียงของเธอ แต่เป็นเสียงของเด็กหญิงอีกคนหนึ่ง เนื่องจากคณะกรรมการจัดพิธเห็นว่าเด็กที่เสียงเพราะนั้นถึงจะหน้าตาน่ารัก แต่ก็มีฟันที่เก จึงเฟ้นหาเด็กหน้าตาดีเพอร์เฟคมาเข้าฉากแทน ทั้งๆที่เธอซ้อมร้องมาเป็นปีๆ

In London there were more close-ups – it didn’t show the big formations. It had the human touch. In Zhang Yimou’s opening ceremony there was almost none of that. You could not push into a person’s face and see the human experience. What I liked most with this was that it always came back to very personal details. And that’s what makes it a nation you can trust; you see the values there. Anyone who watched it would have a clear understanding of what England is.

ในพิธีเปิดที่ลอนดอน มันเป็นเรื่องราวที่เจาะลึกลงไปมากกว่า, ไม่ได้เป็นการแสดงที่โชว์รูปแบบความพร้อมเพรียง แต่มันเป็นเรื่องราวที่ประทับในความรู้สึกผู้คน ซึ่่งในพิธีเปิดที่จีนแทบจะหาแบบนี้ไม่ได้เลย คนดูจะไม่สามารถมองลงไปไปที่ใครสักคน เพื่อมองประสพการณ์ของผู้คนโดยรวมได้ สิ่งที่ฉันชอบมาที่ลอนดอนนี่ก็คือ การที่เรื่องราวที่ดำเนินไปจะย้อนกลับมาอธิบายสิ่งทีเป็นรายละเอียดด้านลึกๆ ของผู้คนในอังกฤษ และนั้นเป็นอะไรที่รวมกันเป็นชาติที่มีความเชื่อถือได้ คุณจะมองออกถึงคุณค่าที่มีอยู่ในนั้น ใครก็ตามที่ได้ดูก็จะเกิดความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าความเป็นอังกฤษมันคือ อะไร


ชมคลิปวีดิโอพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2012 ที่ลอนดอน แบบเต็มๆได้ที่นี่ครับ

ที่มา: www.smileyfox.com

วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

รวมคำคมประโยคเด็ด (มุขเสี่ยวๆ) จาก Facebook, twitter

รวมคำคมประโยคเด็ด (มุกเสี่ยวๆ) จาก Facebook, twitter

หลายๆครั้งที่จะโพสต์เฟสบุ๊ค หรือโพสต์ทวิตเตอร์แล้วไม่รู้ว่าจะโพสต์อะไรดี ลองประโยคเหล่าหนี้สิครับ อาจจะเรียก like ได้บ้าง:
- บทเรียนที่ยากที่สุดของคนรักกัน..คือความห่างไกล
- ผู้ชายที่อ่อนโยนได้มากเท่าไร หมายความว่า เวลาเขาใจร้าย เขาก็หยาบคายได้ที่สุดเช่นเดียวกัน
- หวยซื้อทุกเลข ยกเว้นเลขที่ออก
- ในเมื่อ “ผอม” ไม่ได้…ก็ควรจะเรียนรู้ที่จะ “อ้วน” อย่างน่ารัก
- เสียใจไม่ว่า แต่อย่าทำให้เสียความรู้สึก เพราะต่อให้คุณ “สำนึก” ความรู้สึกก็ไม่กลับมา
- อยากอกหัก เเต่อุปสรรค อยู่ที่หน้าตา
- ตอนกรูจีบ ก็เสือกไม่เอา แล้วจะบ่นโสด บ่นเหงา เพื่ออะไร
- ไม่เคยเล่น “ฟาร์มวิลล์” เพราะไม่เก่งเรื่อง “ปลูกผัก” แต่ถ้าเป็น “ฟาร์มรัก” ถึงไม่ถนัดแต่ก็ “อยากลอง”
- ถึงไม่หล่อเท่าโดม แต่ก็ใช้โฟมที่โดมโฆษณา
- อยากลืมใคร อย่าใช้เวลา เพราะนาฬิกา ยังวนมา”ที่เดิม”
- ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้าน้อง พี่ก็เหมือนตกอยู่ในสนามรบ … รบแรกพัก
- ชีวิตแต่งงานกับพิธีแต่งงาน มันไม่ใช่เรื่องเดียวกัน อย่าหวังว่ามันจะสวยงามเช่นเดียวกัน
- ความรักก็เหมือนหมอฟัน…หลอกกรูอยู่นั่น ว่าไม่เจ็บ ไม่เจ็บ
- ความรักคืออะไร …มีนิยามมากมายบอกไม่หมด แต่ฉันว่าความรักเหมือนเกมกด พอถ่านหมดก็จบเกม
- ไม่ได้คิดจะ”แย่ง” แค่ แอบ “แช่ง” ให้เลิกกันเร็วๆ
- เป็นการยากหากจะเข้าใจในความรัก…แต่ยากยิ่งนักหากจะรักอย่างเข้าใจ
- ตั้งแต่เกิดมาเคยเจ็บแค่สองครั้ง “ครั้งแล้ว” กับ “ครั้งเล่า”
- รักใครอย่าทิ้ง รักจริงอย่าจาก รักใครอย่าพราก รักแต่ปากอย่ารักเลย
- คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก คัพ D ซบลำบาก อึดอัดมาก……..แต่รับได้
- สาเหตุที่ Facebook ไม่มี LOVE มีแต่ LIKE เพราะไม่สนับสนุนให้ใครหลายใจ LOVE ใครหลายๆ คน
- Google ที่ว่าแน่ . . ยัง Search’ หา “คู่แท้” ตู ไม่เจอ
- กินอยู่กับปาก อยากอยู่กับเธอ
- ไม่อยากเป็น “เจ้าหญิง” เพราะได้แค่ “เจ้าชาย” แต่อยากเป็น “นางร้าย” ที่จะได้ “ผู้ชายทั้งเรื่อง”
- ทีตอนผมโสดล่ะไม่มีใครรู้…….แต่ตอนกรุเจ้าชู้…รู้กันได้ไง
- เป็น “คนโสด” ไม่ต้องเศร้า เพราะ ถ้าเป็น “คนที่เขาไม่เอา” มันเศร้ากว่า
- ผู้ชายไม่ใช่พิซซ่า เลือกหน้ากันอยู่ได้
- ถึงจะใช้ ” โปรโทรฟรี “.. ก็ไม่มี ความหมาย.. ถ้าไม่มี คนปลายสาย ให้โทรหา
- “สายตา”ของคนบางคนมีผลต่อการเต้นของ”หัวใจ”
- อย่าเชื่อ คำว่า “โดนทิ้ง” ของผู้หญิง อย่าเชื่อ คำว่า “รักจริง” ของผู้ชาย
- แอดเป็นเพื่อนน่ะ พอรู้ แต่แอดเป็นชู้ มันกดตรงไหน -
คงอยากจะเอาไปโพสต์เฟสบุ๊ก หรืออัพทวิตเตอร์ กันบ้างแล้วใช่ไหมล่ะ ลองเลือกไปใช้ดูนะครับ และอย่าใช้พรำเพรื่อเดี่ยวจะโดยหาว่า “เยอะ” ครับ

Source(ที่มา) http://www.smileyfox.com/

The Dark Knight Rises -แบทแมนภาค 3

The Dark Knight Rises -แบทแมนภาค 3

dark-knight-rises-batman

ตั้งแต่ดูหนัง super hero มาทั้งหมด ก็จะมี Bat man นี่แหละที่ผมชอบมากที่สุดแล้ว เพราะมันก้าวพ้นจากความเป็นหนัง Super hero ธรรมดาๆทั่วๆไป ซึ่งพระเอกเก่งมีพลังพิเศษ ในที่สุดสู้กันไปมาแล้วตัวร้ายแพ้ก็จบ ไมได้อะไรกลับบ้านเลย แต่สำหรับหนังแบทแมนในแต่ละภาค มันคือหนังที่ดูแล้วต้องคิดตาม มีที่มาที่ไป มีสิ่งที่ดึงความสนใจคนดูที่มากว่า เครื่องมือไฮเทค หรือรถหรูของฮีโร่ค้างคาว ก่อนไปดูก็ยังสงสัยอยู่ว่า ภาคนี้จะไปแนวไหนนะ เพราะในภาคสองนั้น ทำได้ยอดเยี่ยม อย่างไม่รู้จะติอะไร ทิ้งตำนานโจ๊กเกอร์ให้ผู้คนกล่าวถึงไปตลอดกาล

เปิดฉากแรกมาด้วยการชิงตัวประกันบนเครื่องบินของ CIA สำหรับคอหนังแอคชั่น ถ้าเข้าโรงช้าก็ถือว่าพลาดฉากสำคัญ เพราะว่าฉากนี้แหละ เป็นฉากที่ คริสโตเฟอร์ โนแลน พยายามจะบอกพวกเราว่า “กูก็ทำได้” สเน่ห์ของหนังแอ๊คชั่นอย่างนึ่งคือ “ความโอเวอร์” ซึ่งหนังแบทแมนไม่เคยมี แต่มาภาคนี้เปิดฉากมาปุ๊บก็ทำให้คนดูลุ้นระทึกทันที และในฉากเดียวกันนี้ก็เป็นการเปิดตัววายร้าย “เบน” อีกด้วย


การออกตลาดของหนังเรื่องนี้ ถือได้ว่าเลือกช่วงเวลาได้ถูก จนอดคิดไม่ได้ว่า หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐแอบมาคุยกับคริสโตเฟอร์ โนแลนด์ รวมทั้งเป็นสปอนเซอร์ให้เขาอย่างลับๆหรือเปล่า ในช่วงเวลาที่โลกนี้กำลังทำการปฏิวัติประชาชนครั้งแล้วครั้งเล่าจากประเทศ ต่างๆตั้งแต่เอเซียใต้ ไปตะวันออกกลาง จนกระทั้งถึงแอฟริกา เกือบทั้งหมดทำให้อเมริกาเสียผลประโยชน์ เพราะการปฏิวัติเหล่านั้นได้โค่นล้ม/หรือพยายามโค่นล้มเด็กสร้างของอเมริกา อย่างที่อิยิปต์ และเยเมน เป็นต้น ในภาคนี้คริสโตเฟอร์ โนแลนด์ ได้ตบหน้าประชาชนผู้ก่อการปฏิวัติฉาดใหญ่ ด้วยการกำหนดให้การปฏิวัติประชาชนของวายร้ายเบน เป็นแค่การหลอกลวง ประชาชนที่ลุกขึ้นมาต่อต้านทางการร่วมกับเบน ก็แค่ถูกเบนหลอก เมื่อได้อำนาจแล้วก็ทำอะไรไม่เป็น กระทั้งจะตั้งผู้พิพากษาก็ทำได้แค่หาคนหน้าตาฉลาด แต่ความเป็นจริงแล้วสมองกลวงตัดสินอะไรตามอำเภอใจ ไร้ความยุติธรรม สิ่งเหล่านี้มันเป็นสิ่งที่อเมริกาพยายามบอกชาวโลกมาตลอด ครั้งหนึ่งหลังจากที่ประชาชนชาวอิยิปต์ สามารถโค่น “ออสนี มูบารัค” ได้สำเร็จ อเมริกาก็ตบหน้าชาวอิยิปต์ด้วยการแสดงความยินดีในหน้าฉาก แต่ก็มีคำพูดมีทิ้งท้ายที่แปลความได้ว่า “ล้มมูบารัคไปแล้ว พวกมึงจะมีปัญญาทำอะไรต่อ” หนังเรื่องนี้พยายามสร้างความมั่นคงให้กับจักรวรรดิอเมริกา ด้วยการบอกว่า “ปฏิวัติประชาชน เกิดขึ้นได้ก็เพราะมีวายร้ายตัวหนึ่งมันหนุนหลัง” มันคือวิธีการที่โลกทุนนิยมปกป้องตัวเองในยุคโลกาภิวัตร

อ่านมาถึงตรงนี้ บางท่านอาจจะบอกว่านี่มันหนัง Super hero หรือว่า หนัง politics กันแน่นะ แต่ถ้าใครเป็นแฟนแบทแมนในฉบับของคริสโตเฟอร์ โนแลนด์ จะรู้ว่านี่แหละครับที่ทำให้แบทแมน ต่างจากยอดมนุษย์ไฟฟ้า!!! มันไม่ใช่หนังอีโร่ปัญญาอ่อน แต่มันเป็นหนังที่ต้องปีนบันไดดูกันบ้าง ไม่ถึงกับบันไดสูงอะไรหนักหนา เพราะยังไงก็ยังต้องรักษาความเป็นแอ๊คชั่นเอาไว้ แต่ก็ยังคงต้องการรอยหยักในสมองของคนดูบ้าง ถ้าไม่พร้อมก็อยุ่บ้านดู Thailand got talent ไปก่อนครับ ไม่ได้จะว่าใครนะครับ แต่สมัยนี้ค่าดูหนังมันแพง ไม่อยากให้ใครเสียเงินเปล่า หนังดีอาจไม่ใช่หนังสนุก เพราะความสนุกของแต่ละคนมันไม่เหมือนกันครับ หลังๆโรงหนังในบ้านเราไม่เอาเอาหนัง Oscar nominee มาฉาย คือถึงจะเอามาก็จะเอามาตอนมันได้รางวัลแล้ว เพียง หนึ่งถึงสองเรื่อง ไม่ครบทุกเรื่องเหมือนเมื่อก่อน ..เพราะมันไม่ใช่ความสนุกของคนดูบ้านเราครับ ก็เข้าใจว่าโรงหนังก็คงไม่อยากจะขาดทุนหรอก

ในเมื่อแบทแมนภาคนี้จะเป็นภาคสุดท้ายแล้ว ผู้กำกับจึงพยายามปูพื้นตัวตายตัวแทนขึ้นมา ในเรื่องจึงมีการ introduce  เซเรน่า ไคลน์ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “Cat woman” รวมถึงหนุมน้อย Robin อีกด้วย ถ้าดูกันดีๆจะเห็นว่า บทของ Cat woman (แอนน์ แฮทธาเวย์) ค่อนข้างจะขาดๆเกินๆ ถ้าตัดเธอออกไปจากหนัง ก็จะสามารถดำเนินเรื่องได้โดยไม่มีอะไรเปลี่ยน เธอมีจุดเชื่่ิอมที่สำคัญคือ เป็นผู้ขโมยลายนิ้วมือของ บรูซ เวย์น ไปให้วายร้ายเบน แค่นั้นจริงๆ เพราะที่เหลือเป็นฉากการต่อสู้ที่ไม่ค่อยมีความสำคัญอะไร  ส่วนโรบินนั้นมีบทบามที่เหมาะกำลังดี เป็นตัวเล่าเรื่องเลยก็ว่าได้ เพราะฉากสำคัญๆจะตามไปกับตัวเขาตลอด



ถึง Cat woman จะบทน้อย แต่ด้วยฝีมือและความเซ็กซี่ของ แอนน์ แอทธะเวย์ ก็เรียกได้ว่าเธอทำให้หนังดูมีสีสันมากขึ้นครับ เรียกได้ว่าเป็น Cat woman ที่ดูมิมิติมากขึ้น ไม่ใช่แบบราบเหมือนแต่ก่อน

วายร้ายเบน รับบทโดย ทอม ฮาร์ดี้ แสดงได้โหดแบบสุดขีด มันน่าเสียดายครับ ที่อยู่ๆ แบทแมน ซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะสู้กับวายร้ายเบนได้เลย บังเอิญไปพบจุดอ่อนของเบนเข้าให้ หลังจากนั้นพระเอกของเราก็เอาชนะวายร้ายตัวพ่อที่โคตรจะร้ายในตอนแรกได้โดย ง่ายดาย ตรงจุดนี้อาจทำให้หลายคนหงุดหงิด แต่ผมว่าเป็นความจำเป็น เพราะถ้าไม่ลดบทบาทของวายร้ายเบนลงไป จะไม่มีโอกาสได้เปิดหน้าวายร้ายตัวจริงที่อยู่หลังเบนอีกที!!! แต่ก็อีกนั่นแหละ ถึงจะเปิดตัวผู้อยู่เบื้องหลังเบนให้ออกมาหน้าฉากได้ แต้ก็มีบทบาทที่น้อย และมีจุดจบที่เร็วเกินไป ผมว่านี่คือส่วนที่จะลดคะแนนของหนังเรื่องนี้ลงไปครับ อาจะเป็นเพราะว่าตัวละครมาก วายร้ายเองก็มีตัวร้ายกว่าอยู่เบื้องหลัง พระเอกก็มีสองบุคลิคทั้งเวย์นและแบทแมน ตำรวจก็มี ผบ.ตร.คนเก่า กับคนที่ขึ้นมาชิงดีชิงเด่น และยังเปิดตัวฮีโร่ไหม่อีกสองคนคือ cat woman และ robin ตัวละครทุกบทมี double ทั้งนั้น จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่า มันบริหารยาก และมีขาดๆเกินๆอยู่

โดยสรุป Batman -The Dark Knight Rises เป็นหนังที่ไม่ควรพลาด ถ้ายังชอบ The Dark Knight อยู่ เรื่องนี้อาจมีเหลี่ยมมุมน้อยกว่า แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือสีสันที่มากขึ้น และยังคงเป็นหนังฮีโร่ ที่คนดูต้องขบคิดอยู่เหมือนเดิม รวมทั้งคุณอาจมีเหตุผลในการดูอีกข้อหนึ่งตรงที่ ไปทำความรู้จักกับ Cat woman และ Robin เพื่อดูภาคต่อๆไปได้สนุกยิ่งขึ้น
ระดับความน่าดู: (4.5 จาก 5)

Source(ที่มา): http://www.smileyfox.com/

วันอังคารที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2555

ภาษาพาเพลิน ตอน Break a leg



สมัยก่อนที่ผมสอนหนังสืออยู่ มีนักศึกษาเวียดนามส่งอีเมล์มาขอขาดเรียน (ก็ขอลานั่นแหละ) โดยบอกว่าจะบินกลับไปสัมภาษณ์งานตำแหน่ง System Analyst ที่ธนาคารแห่งหนึ่งในประเทศเวียดนาม พอผมอ่านเมลล์จบ ก็ไม่ได้ตอบอะไรยืดยาว ไม่ใช่อะไร กำลังวุ่นวายกับเกมส์ Pungya อยู่ ก็ตอบไปแค่ Break a leg! ไม่มี ว.2 ตอบกลับมา ก็นึกว่า เออ มันคงเข้าใจแหละ

อีก 1 อาทิตย์ถัดมา ก็เจอกันในห้องเรียน ยังไม่ทันได้เริ่มสอน พี่ทั่นก็เข้ามาถามเป็นภาษาไทยที่ไม่ค่อยชัด อาจาง เบร๊ก อะ เล๊ก มาง แปลว่า อารัย คับ (ถามเป็นภาษาอังกฤษก็ได้ป่ะครับคุณลูกศิษย์) ..

และนี่คือคำอธิบายครับ
Break a leg, มันเป็น Idiom ที่ใช้แทนคำว่า Good luck ครับ ..คงไม่มีใครถามผมนะว่า อาจาง กูก ล๊าก แปลว่าอารัย

ที่มาที่ไปมันไม่แน่ชัดครับ ผมได้สอบถามจากเพื่อนๆ หลายคน ว่ามันมีที่มาอย่างไร ไม่มีใครรู้สักคน ไปได้คำตอบจากเพื่อนคนหนึ่งเป็นเกาหลี สัญชาติ อเมริกัน ชื่อ Stephen Ho เดี๋ยวขอแวะนอกเรื่อง นินทาเพื่อนสักนิดหนึ่งก่อน คุณโฮมันทำงานอยู่ Pentagon(กระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ) รู้แทบจะทุกเรื่อง ถามอะไรมันก็รู้หมด แถมรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทยดีกว่าคนไทย มันมาเมืองไทย แล้วพาผมไปเดินสยาม ยังคุยว่า Siam Square is like my back hand (แปลว่า คุ้นเคยกับสยามสแควร์ดีทุกซอกทุกมุม) แล้วที่ชอบที่ชอบของแกก็คือ Chicken farm มาที่ไรอยากไปดูแต่ฟาร์มไก่ เดือดร้อนผมต้องขับรถพามันวนดูฟาร์มไก่ ที่ ถ.เพชรบุรี ตั้งหลายรอบ ก่อนจะปล่อยมันลงไปเดินชมฟาร์มด้วยตัวเอง แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง พามันไปกิน Seafood ที่สีลม พอจะกลับคาดว่าเขาคงเห็นแสงสีแถวๆซอย 4 มันล่อตาล่อใจ ก็เลยบอกให้ผมกลับไปก่อน เขาอยากเดินเที่ยว ผมก็ปล่อยสิครับ ... เช้าวันถัดมาเจอกันมันบอกว่า "Woooh, Mickey you didn't tell me!! ... เออ ก็กรูเห็นเมิงรู้ทุกอย่างนี่หว่า นึกว่า Silom is like your back hand too!! lol. (มันไม่รู้ว่าแถวนั้นมีแต่บาร์เกย์กับโชว์กระเทยเต้นอโกโก้)



ที่มาที่ไปของ Berak a leg เจ้าเพื่อนผมมันบอกว่า ในหมู่นักดนตรี นักแสดง และคณะละครเวที เขาจะไม่อวยพรกันว่า Goodluck เพราะเชื่อกันว่ามันจะกลายเป็น Bad luck ทำให้แสดงไม่ดี เล่นไม่ออก หรือเกิดอุบัติเหตุจากการแสดงได้ (ผมนึกถึงนักกีต้าร์คนหนึ่งเอาลิ้นตัวเองไป lick guitar ไฟดูดตายเลย, 555) เขาจึงพูดให้ตรงข้าม คือแช่งให้ขาหักเสียเลย เนืองจากในยุคที่ละครเวทีเฟื่องฟู การแสดงมักจะผาดโผน เช่นการห้อยเชือกโรยตัวมาจากบนเพดาน หรือพระเอกนางเอกนั่งชิงช้าสูงๆ คุยกันเป็นต้น ซึ่งเวลาเกิดอุบัติเหตุมันมักจะทำให้ขาหัก การอวยพรแบบแก้เคล็ด จึงอวยพรให้ขาหัก ไม่ใช่คอหัก ..อิอิ 

อย่างไรก็ตาม ในภาษาเยอรมัน เขาก็อวยพรแบบนี้เหมือนกัน แต่เขาอวยพรให้หักทั้งขาและคอเลย (Hals- und Beinbruch) โหดดีไหมล่ะ?

การอวยพรแบบบแก้เคล็ดนี้ ก็คงคล้ายๆกับที่บ้านเรา ที่บอกว่าเวลาเห็นเด็กทารกน่ารักอย่าไปชมว่าน่ารัก เพราะจะทำให้เวลาโตขึ้นมันจะน่าเกลียด ให้บอกว่า "น่าเกลียดน่าชัง" แทน โตไปมันจะน่ารัก  .. อันนี้ผมสันนิษฐานว่าแม่ผมคงลืมบอกเพื่อนๆ ..lol บางความเชื่อก็บอกว่าถ้าไปชมว่าน่ารักเดี๋ยวผีจะมาเอาตัวไปครับ อย่ามาถามที่มาที่ไป ผมไม่รู้หรอกครับ มันน่าจะหายากกว่าที่มาไปของความเชื่อแบบฝรั่งเสียอีก

เมื่อรู้ที่มาที่ไปแล้ว คราวนี่แหละ ถ้าใครบอกให้ผมโชคดีตอนจะขึ้นเวที ถ้าได้อ่านตรงนี้ช่วยเปลี่ยนเป็นแช่งให้ผมขาหักแแทนนะครับ อวยพรให้โชคดี เดี๋ยวมีโกรธ

จนกว่าจะพบกันใหม่ครับ