วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ภาษาพาเพลิน ตอน "HMU"

HMU ไม่ได้อ่านว่า "หมู" หรอกนะครับ แม้ผมจะชอบอ่านคำคำนี้ว่าหมู แต่ก็ไม่อยากให้ใครมาอ่านตาม (ไม่ได้หวง ..แต่มันผิดคัรบ)

เวลานี้อะไรๆก็หมูสำหรับนายกอภิสิทธิ์ไปหมด พรรคประชาธิปัตย์รอดพ้นจากทุกคดี และยังมีผลการเลือกตั้งซ่อมเป็นที่น่าพอใจ แต่ถึงกระนั้นนายกก็ยังต้องเผชิญศึกภายในพรรค เมื่อกุนซือซ้ายขวาต้องแตกหัก ถึงขั้นจะต้องเลือกไว้เพียงหนึ่งเรื่องมันจึงไม่ "หมู" อีกต่อไป จึงเป็นเหตุให้เลขาธิการนายก นายกอร์ปศักดิ์ ต้องลาออกจากตำแหน่ง เมื่อเหตุการณ์มันไม่หมูเช่นนี้ วันนี้ผมจึงนำเสนอคำว่า "หมู" เสียเลย(ย้ำอีกครั้ง ผมอ่านเล่นๆโปรดอย่าอ่านตามนะครับ)

มีผู้อ่านส่งอีเมลล์มาบอกว่า เวลาผมเขียนแต่ละเรื่อง ผมนอกเรื่องมากไป ไม่เหมาะกับการที่เขาเพียงแค่อยากรู้ความหมายของคำตามหัวข้อ แล้วเขาต้องไปอ่านเรื่องอื่นนานมากๆ ผมอ่านแล้วก็เห็นด้วยนะครับ ผมขออธิบายอย่างนี้ครับ ที่ผมใส่เรื่องต่างๆที่เป็นสถานการณ์ปัจุบันลงไป เมื่อกลับมาอ่านวันหลังเราจะรู้ว่า สถานการณ์ในขณะที่เขียนมันมีสภาพเป็นอย่างไร มีอะไรที่เป็นเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นบ้าง ก็เอาเป็นว่าผมจะฝอยน้อยลง แล้วเข้าเนื้อหาให้เร็วขึ้น แต่จะตัดไปเลยมันคงจะไม่ครบถ้วนตามเจตนาผมนะครับ เราพบกันครึ่งทาง และขอบคุณที่อุตสาห์ติชมกันมาครับ

HMU คำนี้เป็นคำย่อ ที่ใช้กันตามยุคสมัยเลยครับ ใช้กันมากในปีนี้นี่เอง ดังนั้นเรียนรู้ไว้ ไม่มีเชยแน่นอนครับ HMU ย่อมาจาก Hit me up. การใช้ค่อนข้างจะอยู่ในเรื่องของการสื่อสาร ใช้ชวนสาวๆไปออกเดทก็ได้ หรือการบอกให้ติดต่อฉันด้วย หรือบอกว่าชวนฉันไปด้วย เราลองมาดูตัวอย่างกันดีกว่าครับ

"Just hit me up on my cellphone, I'll pick up it right away."
- แค่โทรมาเข้ามือถือฉัน ฉันจะรับทันที
(Right away แปลว่า ในทันที, เผื่อว่าผู่อ่านบางคนอาจจะยังไม่รู้ครับ)

"He tried to hit me up for a loan"
- เขาพยายามเข้าถึงฉันเพื่อการกู้ยืมเงิน
สำหรับตัวอย่างนี้ มันค่อนข้างจะไม่ได้ใช้ในแบบที่เขากำลังฮิตๆกันอยู่ในขณะนี้ แต่เราก็ควรทราบไว้ครับ อย่าเรียนแต่คำฮิตๆครับ เดี๋ยวท่านไตรรงค์ สุวรรณคีรี(หรือท่านสามสี ภูเขาทอง ของผม อิอิ)จะน้อยอกน้อยใจเอา หาว่าไปทำภาษาวิบัติอีก ฮาาาาาาา จำไว้ว่า Hit up, Hit one up มันใช้แปลว่าการเข้าถึงอีกด้วย จะว่าไปถ้าเป็นภาษาอังกฤษแล้ว มันความหมายเดียวกันนะครับ เวลาเราติดต่อใครไม่ได้ในภาษาอังกฤษเราก็จะบอกว่า we could not reach you. แปลให้ตรงๆตัวมันก็เหมือนฉันเข้าถึงคุณไม่ได้ (ขอร้องเลย ว่าอย่าแปลแบบนี้ นี่แค่ยกตัวอย่างให้เห็นว่า มันเหมือนจะเป็นคนละคำในภาษาไทย แต่มันไม่ต่างกันในภาษาอังกฤษ)

"Honey, Please hit me up with that super car"
- ที่รัก, โปรดปนเปรอฉันด้วยรถซูเปอร์คาร์คันนั้น (ลิเกจังวุ้ย)
เอาเป็นว่าไปแต่งความหมายภาษาไทยเพราะๆเอาเองนะครับ คือใช้ในความหมายว่าเติมเต็มความต้องการ,หรือปรนเปรอ,สนองตัญหา,อะไรประมาณนั้นล่ะครับ ประโยคนี้เธอไม่ได้ขอให้ขับรถซูปเปอร์คาร์ชนเธอนะครับ อันนั้นมันก็โรคจิต ซาดิสม์ไปนิดส์หนึ่ง

ในประโยคเดียวกันนี้ เมื่อคุณเป็นผู้ชายที่ถูกหวานใจขอให้ถอยรถซูเปอร์คาร์ให้ แต่คุณยังไม่มีปัญญาซื้อให้เธอตอนนี้ แต่พ่อบุญทุ่มอย่างคุณก็พร้อมที่จะซื้อให้วันหลัง คุณอาจปฏิเสธว่า "Oh..no I've just boughten you a diamond ring, please hit me up next year before your birthday" ไม่เอาน่าผมเพิ่งซื้อแหวนเพชรให้คุณไป คุณเตือนผมอีกที่ปีหน้าก่อนวันเกิดคุณแล้วกัน ..แหมคนมันรวยช่วยไม่ได้จริงๆ จะเห็นว่าความหมายมันคือจะเตือนฉันอีกทีวันหลัง

ความหมายก็มีอยู่ประมาณนี้แหละครับ แต่ที่เขาฮิตๆกันจริงๆ ตาม Social Network ต่างๆ จะใช้ในความหมายของการติดต่อเป็นส่วนใหญ่ครับ ใช้ได้ทั้งทางโทรศัพท์, ทาง Instant messaging, หรือการติดต่อทางไหนก็ได้ครับ เช่นเพื่อนคุณอาจจะโทรหาคุณไม่ติดเลย เพราะคุณมัวแต่โทรคุยกับกิ๊กใหม่ เขาจึงไปโพสต์ในเฟสบุ๊คของคุณว่า Hey man, HMU when you get a chance. จะเห็นว่าเพื่อนคุณไม่ได้ระบุว่าให้ติดต่อทางไหน คุณจะโทรจิตไปเพื่อนคุณก็ไม่ว่าหรอก(แต่อาจจะช๊อคตายก่อน)

HMU มันจะฮิตกันขนาดไหนกันเชียว? เอาเป็นว่าดูรูปประกอบด้านล่างนี้ เป็นสถิติคำที่ใช้เป็น status บน Facebook มากที่สุด ในปี 2010 คุณคงเห็นแล้วว่า มันอยู่อันดับที่เท่าไหร่
 



พบกันใหม่ตอนหน้า สวัสดีครับ

Contacts
e-mail: sup_ch@hotmail.com
twitter: mikky2012

วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ตำนานการกวนเกษียรสมุทร (ฉบับไพร่)

*บทความนี้ เขียนเมื่อ Jun 01, 2010 ย้ายมาจาก Note ในเฟสบุ๊ค เพื่อมารวมไว้ที่นี่*

ปฐมบท
ครั้งหนึ่งในอันตกาล อสูรทั้งหลาย อาศัยอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มนุษย์โลกนั้นว่างเว้นจากการบำเพ็ญตบะมานานหลายอสงไขย จึงไม่มีมนุษย์ไปเกิดบนดาวดึงส์เลย ต่อมามีมนุษย์โลกที่ทำทานมาก มากจนเทียบได้ยิ่งใหญ่กว่าบุญของพวกอสูร ซึ่งมิได้เคยทำทาน แต่อาศัยการบำเพ็ญตบะบารมีอย่างเดียว เมื่อตายลง นนุษย์ผู้นั้นจึงบังเกิดบนสรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้นเอง เกิดเป็นเทวดาสายพันธุ์ใหม่ผู้มีรูปงาม ซึ่งไม่เคยมีในดาวดึงส์มาก่อนเลย

ครั้นเมื่อเทวดารูปงามเกิดขึ้น 1 องค์ ก็คอยช่อยเหลือปูทางให้ชาวโลกทำความดี และมีจิตที่ระรึกถึงเทวดา อยู่เสมอ เมื่อตายไปจิตหลุดออกจากร่าง จึงพากันไปบังเกิดเป็นเทวดาจำนวนมาก, อนึ่ง 1 วันบนดาวดึงส์นั้น ยาวนานถึง 1 แสน ปีบนโลกมนุษย์ ดังนั้นผ่านไปไม่กี่วันบนดาวดึงส์ พวกเทวดาก็พากันผุดขึ้นมากมายราวกับดอกเห็ดในหน้าฝน

ในที่สุดบนดาวดึงส์นั้นจึงประกอบด้วยเทวดาไฮโซรุ่นใหม่ กับเทวดาบ้านนอกหน้าเคร่งขรึมรุ่นเก่า (อสูรนั่นเอง) เกิดการแบ่งชนชั้น ในหมู่เทวดาขึ้นมา อสูรนั้นถูกกดขี่กลายเป็นเทวดาผู้ใช้แรงงาน ให้ล้างเท้าบ้าง งานรับใช้บ้าง หรือการใช้แรงงานต่างๆ ส่วนงานในสำนักงานเทวดานั้น เป็นของเหล่าเทวดาและนางฟ้าหน้าแฉล้ม ไปเกือบทั้งหมด


ศึกครั้งที่ 1 ระหว่าง เทวดากับอสูร
ในที่สุดเหล่าอสูรก็ทนการกดขี่ไม่ไหว พากันรวมตัวเข้ากรุง .. เอ๊ยไม่ใช่ พากันรวมตัวกันทำ "อารยขัดขืน" กับพวกเทวดา เพื่อประท้วงขอทวงคืนสิทธิ์ทีมีมาแต่อดีต เพราะการแบ่งชนชั้นและกดขี่นั้น แต่เดิมไม่เคยมีมา จนกระทั่งมีพวกเทวดาเกิดขึ้น สรุปว่าพวกอสูรต้องการรัฐธรรมนูญการปกครองดาวดึงส์ ฉบับที่อสูรกับเทวดานั้นจะมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน

พวกเทวดานั้น นอกจากไม่ให้สิทธิ์ดังกล่าวกับอสูรแล้ว ก็ยังวางแผนขับไล่อสูรให้พ้นไปจากดาวดึงส์มหานครเสีย จึงส่งกำลังทหารเทวดาทำการ "ขอคืนพืนที่" จากพวกอสูร ตามธรรมชาตินั้นอสูรเป็นผู้ใช้แรงงาน กำลังวังชาและความมีใจสู้ย่อมไม่แพ้ใคร การขอคืนพื้นที่จากพวกเทวดา จึงไม่สำเร็จ ทำให้เทวดาและทหารล้มตายไปจำนวนหนึ่ง

ต่อมาพวกเทวดาประเมินกำลังคู่ต่อสู้อย่างพวกอสูร จนกระทั่งรู้กำลังของอสูรดีแล้ว จึงมาทำการรบกับอสูรใหม่ พวกเทวดานั้นรู้ว่าถ้าสู้กันด้วยกำลัง ไม่มีทางชนะ จึงใช้เลห์กลต่าง ๆ เช่นให้เทวดาจำแลงเป็นอสูรบ้าง หรือเหาะขึ้นไปอยู่ตามดวงดาวต่าง ๆ เพื่อลอบทำร้ายเหล่าอสูรจากด้านบนบ้าง พวกอสูรนั้นไม่สามารถตอบโต้การ "กระชับพื้นที่" ของเหล่าเทวดาได้เลย จึงได้ถอยร่นแล้วพ่ายแพ้ และโดนพวกเทวดาถีบตกจากดาวดึงส์ ไปอยู่รวมกันตรงเชิงเขาสิเนรุ ด้วยความแค้นสุมอก และรอวันกลับมาแก้คืน

สมานฉันท์อสูร-เทวดา
เวลาผ่านไปนาน สวรรค์ที่ปราศจากอสูรนั้นช่างสงบสุข วันหนึ่ง ฤษีธุราวาส ผู้มีฤทธิ์มาก สามารถท่องเที่ยวไปในโลกทั้ง 7 ได้ ภายในพริบตา ได้แวะมาพบพระอินทร์ผู้เป็นใหญแห่งดาวดึงส์ แต่ไม่ได้แวะมาเฉย ๆ มาเทศนาพระอินทร์ว่า อย่าได้หลงไหลได้ปลื้มกับสมบัติพัสฐานต่างๆ เพราะเมื่อสิ้นอายุขัยแล้ว ก็เอาอะไรไปไม่ได้ ซึ่งทำให้พระอินทร์โกรธมาก แต่จะลงโทษด้วยการปลดก็ไม่ได้ เพราะตาฤษีนั้น ไม่ได้เป็นข้าราชการของพระอินทร์ จึงสั่งเทวดาให้มาล้อมจับฤษีเอาไว้ และให้ขับไล่ออกจากพระนคร

ฤษีผู้มีญาณอันแก่กล้า ย่อมไม่พอใจที่พระอินทร์กระทำการผิดมารยาททางการทูตอย่างแรง จึงสาปให้สมบัติพัสฐานทั้งหลายของพระอินทร์จมลงไปในเกษียรสมุทร พอสิ้นคำสาปสมบัติทั้งหลายก็จมลงไปในทันที ประกอบไปด้วย วิมานราชธานี ม้าวลาหก ช้างเอราวัณ ข้าราชบริพารและนางอัปสรมากมาย พระอินทร์เกิดสำนึกผิดและไปขอโทษฤษีธุราวาส แต่ฤษีก็ไม่ถอนคำสาป พระอินทร์จึงไปหาพระนารายน์ ซึ่งพระนารายน์ก็ช่วยไม่ได้ แต่แนะนำว่า ต้องทำการกวนเกษียรสมุทร ซึ่งเป็นทะเลที่มีลักษณะเหมือนน้ำนม เมื่อกวนมาก ๆ เข้า ก็จะกลายเป็นเนย และสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ใต้กระเษียรสมุทรจะลอยขึ้นมา พร้อมทั้งจะมีของแถมเป็นน้ำอำมฤต และฟองอากาศที่เกิดขึ้น ก็จะกลายเป็นเหล่านางอัปสรผู้มีโฉมงาม

พระอินทร์ได้เกณฑ์เทวดามาจนหมดสวรรค์ ก็ไม่สามารถกวนเกษียรสมุทรได้ เพราะบรรดาเทวดาชนชั้นกลางนั้น ไม่เคยทำไร่ไถนา ผอมแห้งแรงน้อย จึงจำต้องไปขอสมานฉันท์กับเหล่าอสูร และเสนอว่าจะแบ่งน้ำอมฤตให้พวกอสูรครึ่งหนึ่ง พวกอสูรนั้นไม่เคยมีสิทธิ์มีเสียงมานาน พอเทวดาเสนอให้แค่นั้นก็ดีใจ ตกปากรับคำ จึงนำกำลังปีนเขาสิเนรุขึ้นไป เพื่อช่วยกวนเกษียรสมุทร

พวกเทวดาและอสูรใช้ภูเขามันทระ เป็นแกนกลางในการกวน และใช้พระยานาคชื่อว่า เศษะนาคราช โอบล้อมเขามัณทระเป็นเสมือนเชือก เหล่าเทวดาเจ้าสำอางค์ก็เอาเปรียบพวกอสูรอีก โดยที่พวกเทวดานั้น จะชักนาคจากทางส่วนหางของ ให้อสูรชักจากส่วนของหัว ทั้งนี้เพราะผู้ที่อยู่ส่วนหัวนั้นจะถูกพิษนาคเป็นอันตราย การกวนเกษียรสมุทรนั้นดำเนินไปหลายศตวรรษ จึงได้เริ่มกลายเป็นเนย สมบัติของพระอินทร์จึงค่อย ๆ ลอยขึ้นมาทีละชิ้น ๆ จนครบ

และท้ายที่สุดก็มีผอบทองบรรจุน้ำอมฤตลอยขึ้นมา พวกเทวดาจึงเข้าไปยึดไว้ พวกอสูรเพิ่งจะถึงบางอ้อ ว่าพวกตนก็แค่ถูกหลอกใช้ พวกเทวดาเขาไม่ให้อสูรได้กินน้ำอมฤตหรอก เพราะว่าถ้าอสูรมีอำนาจขึ้นมาแล้ว ก็เกรงว่าจะแข็งข้อ ปกครองยาก นอกจากไม่ให้น้ำอมฤตแล้ว ในอดีตที่ผ่านมายังขัดขวางความเจริญของเหล่าอสูรหลายอย่าง เช่นเตะถ่วงโครงข่าย 3G และเตะถ่วงไม่ทำ ไม่ทำ FTA ระหว่างเขาโอลิมปุสกับเขาสิเนรุ จนมหาเทพซุสซึ่งเป็นผู้ปกครองเขาโอลิมปุส เริ่มระอาแล้ว หันไปทำ FTA กับพวกเทพฮินดูบนเขาไกรลาสแทน อสูรจดจำความคับแค้นได้ทั้งหมด คราวนี้จึงไม่ยอมให้เทวดาดื่มน้ำอมฤตแต่เพียงฝ่ายเดียว ก็เลยต้องสู้รบกัน ...อีกแล้ว

ร้อนถึงพระนารายน์ ต้องจำแลงกายเป็นนางโมหินี ผู้เลอโฉมมากกว่า สาว ๆ SSND และ Wonder girls ทั้งหมดรวมกันเสียอีก เหล่าทหารบ้ากามของทั้งสองฝ่ายต่างชะงักงัน เมื่อเห็นศิริโฉมของนางโมหินี ลืมทำสงครามกันชั่วคราว เมื่อเห็นดังนั้น นางโมหินีจึงแบ่งน้ำอมฤติให้พวกเทวดากินกันก่อน โดยตั้งใจจะไม่ให้พวกอสูรได้กิน (เหมือนเดิม) พวกอสูรกำลังตะลึงในความงาม ก็ไม่ได้สนใจอะไร

แต่แล้วก็มีอสูรตนหนึ่งชื่อว่าราหู เป็นอสูรมีวิสัยทัศน์ เพราะยามว่างแล้วมักจะใช้ "ตาดูดาว" เป็นงานอดิเรกอยู่เสมอ อสูรตนนี้จึงเห็นว่า ปล่อยไว้ต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะแม้แต่พระนารายน์เองก็ยังร่วมมือกับพระอินทร์ เอาเปรียบพวกอสูร จึงแปลงกลายไปตั้งพรรคการเมือง .. เอ๊ย ผิดอีกแล้ว ..จึงเแปลงกลายไปแทรกอยู่ท่ามกลางพระอาทิตย์กับพระจันทร์ ทำเนียนรอรับน้ำอมฤตจากนางโมหินี

เมื่อถึงคิวราหูได้รับเลือกตั้ง อุ๊ย จำผิดอีกแล้ว ..ได้รับน้ำจากอมฤต ราหูก็ได้ดื่มน้ำอมฤตนั้นด้วย แต่เพระอาทิตย์ (แห่งบ้านพระอาทิตย์) มันเกิดโวยวายขึ้นมา เนื่องจากราหูมาตัดหน้ามันพอดี จึงฟ้องนางโมหินี ว่าไอ้เจ้านี้เป็นเป็นอสูรปลอมตัวมา และสำทับว่า ถ้าปล่อยให้อสูรตนนี้มันเป็นอมตะ มันจะคิดการใหญ่ มันจะล้มเทพทุกขุนเขา ตั้งต้นเป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว ฉับพลับนางโมหินีคืนร่างเป็นพระนารายณ์ และขว้างจักรใส่ราหู ทำให้ร่างของราหูขาดเป็นสองท่อน กระเด็นออกไปอยู่นอกพระนคร วนเวียนเป็นวงโคจรรอบเขาสิเนรุ ส่วนหัวเป็นดาวราหู ส่วนหางเป็นดาวพระเกตุ ไม่ได้เข้าพระนครอีกเลย แต่ไม่มีวันตาย เพราะได้ดื่มน้ำอมฤตเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ตามตำนานไม่ได้ระบุไว้ ว่าภายหลังมีการยึดพรัพย์พระราหูด้วยหรือไม่ ...

ตำนานมันก็จบลงแค่นี้ แต่ความขัดแย้งดูเหมือนจะยังไม่จบ เพราะราหูอสุรีย์นั้น ก็เป็นอมตะ และยังมีสติปัญญาเป็นเลิศ และเหล่าเทวดาก็ยังเห็นอสูรเป็นโจรก่อการร้าย และกีดกันให้อยู่แต่ที่เชิงเขาสิเนรุ โดยไม่คิดจะแบ่งที่ยืนให้เหล่าอสูรบ้างเลย

ตำนานนี้สอนให้รู้ว่า
1. สงครามระหว่างอสูรกับเทวดานั้น ที่จริงมันก็คือสงครามชนชั้น อันเกิดจากความไม่เท่าเทียมกัน และการกดขี่
2. ต่อให้เกิดการสู้รับระหว่างอสูรกับเทวดากี่ครั้ง วิมานจะโดนไฟไหม่ไปสักเท่าไหร่ พวกเทวดาก็ยังจะสนใจแต่พวกวิมาน แต่ไม่ได้สนใจแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียม และโทษว่าอสูรเป็นฝ่ายกระทำ เทวดามันจะจะมองที่ปลายเหตุ จึงไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้เลย
3. พวกเทวดามักจะลืมว่า อสูรนั้นก็เป็นชาวดาวดึงส์เหมือนกัน มักจะคิดว่าเป็นบ้านนอกคอกนา ใช้สิทธิ์ใช้เสียงไม่เป็น คิดว่าเป็นพวกกระเหรี่ยงอยู่ตีนเขาสิเนรุ และการที่พวกอสูรไม่มีที่ยืนนี่เอง จึงจำเป็นต้องก่อสงคราม
4. พวกเทวดา แม้จะหน้าหล่อกว่าอสูร แต่เอาชนะด้วยเล่ห์เพทุบายและวิธีสกปรกเสมอ
5. สงครามเทวดากับอสูรนั้นไม่จบง่าย ๆ และคงจะมีต่อไป จนกว่าฝ่ายไดฝ่ายหนึ่งจะชนะกันเด็ดขาด และที่ต้องเล่นกันขั้นเด็ดขาด เพราะอสูรรู้พิษสงความเข้าเลห์ของพวกเทวดามามากแล้ว
6. เมื่อไหร่ที่มีคนฉลาดอย่างราหูเกิดขึ้น จะถูกจัดการโดยพวกเทวดาเสมอ และส่วนใหญ่ถูกกำจัดจนต้องออกนอกพระนครดาวดึงส์ ให้พ้นหูพ้นตาพระอินทร์และพระนารายน์เสมอ
7. ผู้มีอำนาจที่ยิ่งใหญ่พอจะทำให้เทวดากับอสูรนั้นสมานฉันท์กันได้ ... ไม่มีในโลก มีเพียงผลประโยชน์ที่ลงตัวเท่านั้น ที่จะหยุดสงครามได้ชั่วคราว และเมื่อหมดผลประโยชน์นั้น ก็ต้องสู้รบกันใหม่


พวกยักษ์อยู่ส่วนหัวของเศษะนาคราช

 พวกเทวดาอยู่ส่วนหัวของเศษะนาคราช

ต่างฝ่ายต่างผลัดกันดึง จนนานหลายศตวรรษ


ยักษ์ นนทุกข์ ถูกพวกเทวดากดขี่ นอกจากใช้ให้ล้างเท้าให้แล้ว ยังตบกบาลเล่นจนหัวล้านเหมือนสมศักดิ์ โก... อีก (บอกนามสกุลเต็มไม่ได้ เดี๋ยวโดนฟ้อง)

ภาษาพาเพลิน ตอน "Once in a blue moon"

*บทความนี้เป็นบทความเก่าที่เขียนเมื่อ 25 December 2007 ย้ายบ้านมาไว้ที่นี่ เพื่อรวบรวมให้อยู่ในที่เดียวกัน ในบทความบางส่วนมีการอ้างถึงคุณสมัคร สุนทรเวช และในโอกาสที่ท่านได้ถึงแก่อนิจกรรมไปแล้ว ผมขอแสดงความไว้อาลัย ในฐานะที่ท่านเป็นปูชณียบุคคลทางด้านการเมืองคนหนึ่ง ที่ทำประโยชน์ให้ประเทศชาติอย่างมากมาาย ขอให้ความสงบตลอดชัวนิจนิรันด์ จงมีแด่ดวงวิญญาณของ "สมัคร สุนทรเวช"

 

Once in a blue moon.

สำนวน ในวันนี้เป็นสำนวนที่ผมไม่เคยเห็นมานานแล้ว ทั้งในหนังสือ หรือว่าในบทสนทนาต่าง ๆ  เคยเรียนมาตอนอยู่ ม ปลาย แต่มาได้ยินอีกครั้ง ในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 หลังจากนับคะแนนเลือกตั้งไปได้จำนวนหนึ่ง และพรรคพลังประชาชน มาที่หนึ่งแน่นอนแล้ว

จำ ไม่ได้ว่า นักข่าวต่างประเทศสำนักข่าวไหน ถามท่านหัวหน้าพรรคพลังประชาชนว่า เป็นไปได้หรือไม่ ที่จะให้หัวหน้าพรรคเล็กที่ร่วมจัตตั้งรัฐบาลจะเป็นนายก แทนที่จะเป็นตัวคุณสมัครเอง ตรงนี้คุณสมัครตอบไปว่า มันเป็นไปได้ยาก แล้วก็อธิบายต่อว่ามันเคยเกิดขึ้นนานมาแล้วสมัยท่านคึกฤทธิ์ แต่มันยากที่จะเกิดขึ้นในการจัดตั้งรัฐบาลคราวนี้ และนายกรัฐมาตรีต้องเป็นตัวคุณสมัครเองเท่านั้น

คุณสมัครใช้ประโยคว่า "It happens only once in a blue moon" ในการอธิบายความว่า มันเป็นไปได้ยากหรือไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ

ตัวอย่าง
- It's like once in a blue moon the election winner's party could not form the goverment (มันเป็นไปได้ยากที่พรรคที่ชนะการเลือกตั้งจะไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้)


คุณ สมัครเป็นตัวอย่างที่ดีของคนไทยที่พูดภาษาอังกฤษ เพราะลักษณะการพูดมั่นอกมั่นใจ ไม่ติดขัด สื่อสารรู้เรื่องดี ตรงนี้เป็นส่วนที่คนไทยขาดไป ที่ไม่ค่อยกล้าพูด กลัวผิดแกรมม่า กลัวผิด tense ก็เลยพูดไม่ได้ แล้วคนไทยก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เสียดี ซึ่งส่งผลกับความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วย เราเทียบกับ สิงคโปร์ มาเลเซีย และ เวียดนาม ไม่ได้เลย จะว่าไปจริง ๆ แล้ววันที่ฟังคุณสมัครแถลงก็จับได้ว่าแกพูดผิดพูดถูกบ้าง เช่นคำว่า coup* คุณสมัครแกออกเสียงว่า "คู๊ป" (ออกเสียผิดเล็กน้อย) แต่ผมว่าฝรั่งเขาฟังแล้วเขาก็เข้าใจ เขาก็รู้ว่า ภาษาอังฤษ ไม่ได้เป็น Mother language (ภาษาแม่) สำหรับคนไทย ขนาดจอร์จ บุช ยังพูดผิดพูดถูก แล้วเราจะไปกลัวทำไม

กล้าพูดเข้าไว้ ไม่ต้องกลัวพูดผิด ภาษาอังกฤษเอาไว้สื่อสาร ไม่ได้เอาไว้โชว์ว่าสำเนียงดีเหมือนจบ Oxford ครับ.

---------------------------------------------
* coup อ่านว่า คูป์ (ไม่ออกเสียง ป ปลา) มาจากคำว่า Coup d' e' Tat (คู เด ท่าท์) แปลว่าการทำรัฐประหาร



ว่ากันว่า "โลกจะแตก"

ช่วงนี้กระแส "โลกแตก" มันกลับมาใหม่ มีการนำคำทำนายของ"นอสตราดามุส" มา  Remix ใหม่ .. หรือจะเรียกว่า Cover ใหม่ดี?? จะเรียกยังไงเนื้อหาก็ยังเป็นแนวดราม่าเหมือนเดิม!! ชีวิตนี้จบสิ้น ก็เพราะโลกมันจะแตกในอีก 2 ปี แค่นั้นไม่พอ ยังไปสอดคล้องกับตำนานของชาวมายัน เนื่องจากฏิทินของชาวมายันจะไปจบวันสุดท้ายในเดือนธันวาคมปี 2012 ว่ากันว่าจะเป็น "วันสิ้นโลก" ..แต่ว่า ถ้าเป็นปฏิทินของชาวยันม่าจะยังไม่จบ กล่าวคือพวกกรูต้องไถนาต่อไป (ยันม่าคือคู่แข่งของคูโบต้านั่นเอง)



แถม ด้วยโปรโมชั่นฮ๊อต ๆ ในเดือนและปีเดียวกัน ยังจะเกิดปรากฏการณ์ดาวเรียงตัวกันเป็นแนวเส้นตรง!! อุ..แม่..จ้าววววว ว่ากันว่ามันจะเกิดภัยภิบัติ โกลาหล-อลหม่านไปทั่วโลก  ..ตามต้นตาลแถวเมืองเพชรก็เอากับเขาด้วย เห็นเขาติดป้ายไว้ว่า "วันพิพากษากำลังจะมาถึงแล้ว" บางต้นก็เขียนว่า "ผู้ที่เชื่อเราเท่านั้นจะรอด" แม้แต่ในเฟสบุ๊คผมก็ยังอุตสาห์มีคนมาติดป้าย(Tag) "คุณอย่างมีรายได้เดือนละ 80,000 ติดต่อเรา Global Advertising Co., Ltd." อืม เฟสบุ๊กไม่ใช่เสาไฟฟ้านะ(โว๊ย) จะติดแท็กโฆษณาไปหาพระแสงทำไม  ... กระทั่งนักวิทยาศาสตร์ก็ไม่ตกรถไฟ (เทรน) มีคำทำนายว่าโลกร้อนมาก ..(แต่ลำปางจะยังหนาวมากอยู่) จะเกิดน้ำท่วม คลื่นสูง อากาศวิปริต ลานิญญ่า เอลนิโย่ โปเตโต้ บอดีสแลม บลา บลา บลา แต่ที่แน่ ๆ ฟังนักวิยาศาสตร์ทำนายแล้วกรูรำคาญมวากกกก (มวาก อ่านว่า มู-อะ-วากกก แปลว่า มากโคตรๆ, ทำปากจู๋ๆ เวลาอ่านด้วย) เพราะนักวิทยาศาสตร์ย่อมต้องอธิบายอะไรให้เป็นวิทยาศาตร์ แต่ดันทลึ่งไปอธิบายสิ่งที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ โดยพยายามอย่างเต็มที่ที่จะอธิบายให้เป็นวิทยาศาสตร์ อ่านแล้วงง ๆ ...จริง ๆ ผมก็งงมาตั้งแต่ตอนฟังเขาพูดแล้วแหละ



ที่ จริงก็ๆมิได้อยากจะสนใจ คำทำนายทั้งหลายเหล่านั้นสักเท่าไหร่ แต่บังเอิญมีคนนำเอา "พุทธทำนาย" มาสร้างกระแสปะปนกับคำทำนายโลกแตกไปด้วย แถมยังพูดออกทีวีให้ชาวบ้านกลัว สำหรับการอ้างพุทธทำนายนี่ คนใจร้อนอย่างผมฟังแล้วอดที่จะไม่เขียนไม่ได้ ไม่งั้นเดี๋ยวจะกินข้าวไม่ลง แถมท้องผูกไป 7 วัน จะไม่ดีต่อสุขภาพ ..วันนี้จึงละทิ้งบล๊อก "ภาษาปะกิต วันละคำสองคำ" เป็นการชั่วคราว มาเกาะกระแสโลกแตกกับเขาบ้าง

เริ่มกันที่ดาวเรียงกัน 5  ดวง ก็เคยเกิดมาหลายครั้งแล้ว --อันนี้ไม่มีน้ำหนักไดๆ อย่าไปสนใจมันเลย ไม่เขียนด้วย(เว้ยย ..ฮิ๊วววว)

จริง ๆ แล้วนอสตราดามุส ไม่ได้บอกว่าโลกจะแตกวันไหน แต่พวกนักตีความ ไปตีความไปเองว่าเป็นปีโน้นปีนี้ แต่พอมันไม่ใช่ เดี๋ยวพวกนักตีความสายอนุรักษ์โลก ก็จะนำคำทำนายกลับมา Recycle ตีความเป็นปีอื่นไปได้อีก ช่วยลดพลังงานในการคิด ประหยัดไฟ ประหยัดน้ำมัน ลดโลกร้อนไปได้ เย้ ..ดีใจด้วย

เท่า ที่ผมจำความได้ จากคำทำนายของนอสตราดามุสนี่โลกจะแตกตั้งแต่ปี 1997 มันไม่แตก ก็เลื่อนไปปี 1999 ยังไม่แตกอีกใช่ไหม ปี 2000 ก็ได้ฟะ!! พอดีมันมี Y2K อีกด้วย เคยอ่านหนึ่งสือของ "อ.เจริญ วัฒนสิน" ถอดรหัสออกมาว่าโลกจะแตกเพราะ "คอมพิวเตอร์" โอว ..มันช่างสอดคล้องกับ Y2K พอดี สมัยนั้น ผมยังเป็นคนดี เชื่อคนง่าย ก็พลอยตกอกตกใจไปกับเขาด้วย พลางคิดว่ารีบย้ายสาขาไปเรียนคอมฯดีกว่า จะได้รู้ทันลอร์ดคอมพิวเตอร์ ผู้ครองโลกต่อจาดลอร์ดดาร์กเวเดอร์อีกที 5555 ..แล้วตอนนี้โลกแตกของนอสตราดามุส ก็ได้เลื่อนมาแตกในปี 2012 พร้อม ๆ กับคำทำนายของชาวมายัน ...ไม่ต้องตกใจครับ เดี๋ยวมันจะเลื่อนออกไป อีก 3-4 ปีข้างหน้า เมื่อกระเหรี่ยง KNU ออกคำทำนายว่าโลกจะแตก เพราะเสด็จพ่อคิมแห่งเกาหลีเหนือทำโรงงานนิวเคลียร์ใต้ดินระเบิด!!



ที่นี้ มาดูของทางพุทธศาสนากันดูบ้าง ผมขอไม่คัดลอกเนื้อความมาลง มันยาวประมาณสี่หน้ากระดาษได้กระมัง ไปหาอ่านได้ตามวิกิพิเดีย ตามพุทธทำนายก็ไม่ได้ระบุว่าปีไหน แต่ใช้คำว่า "กึ่งพุทธกาล" ซึ่งไม่ได้บอกว่าโลกจะแตก แต่บอกว่า(แปลแล้ว) จะเกิดสงครามของคนนอกศาสนา(นอกศาสนาพุทธ) ลูกไฟจะพวยพุ่งจากน้ำสู่อากาศ (เรือรบยิงมิไซล์ไปที่เครืองบิน??) ยักษ์หินจะตื่นจากหลับ (อเมริกาเริ่มเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 จากที่ตัวเองไม่ยุ่งในตอนแรก)  --โดยสรุปไม่ได้บอกว่าโลกจะแตก

*เรื่องพุทธทำนายนี้ ไม่ได้มีระบุไว้ในพระไตรปิฏก ทั้งสามเล่ม แต่มีการขุดค้นพบที่หลัง*

คำ ว่ากึ่งพุทธกาลนั้น ถ้ายึดตามพระไตรปิฏก บอกว่าอายุของพุทธศาสนาแห่งพระสมณโคดมจะดำรงอยู่ 5000 ปี ดัังนั้งกึ่งพุทธกาลก็คือ 2500 แต่ถ้าคิดดูอีกที คำทำนายไม่ได้บอกว่าต้องกึงพุทธกาลแบบเป๊ะๆ ลองคิดดูว่านับ 1 ถึง 5000 แล้วเราพูดว่าบริเวณตรงกลางระหว่างจำนวนนั้น มันอาจจะตีความได้ตั้งแต่ 2400-2600 ก็ได้ คือบวกลบอย่างละ 100 คร่าว ๆ สงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดในช่วงนี้ หรืออาจจะมีสงครามอะไรมาเกิดอีกก็ได้ เพราะยังไม่ถึง พ.ศ. 2600 เลย --ถ้ายึดตามนี้ หมายความว่า ถ้าคำทำนายไม่ได้หมายถึงสงค่ามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงชีวิตเรา อาจมีโอกาสจะได้เห็นสงครามใหญ่ ๆ ที่ใหญ่กว่าสงครามโลกครั้งที่ 2

ตาม พระไตรปิฏกกล่าวไว้ว่า โลกเกิดมาและดับไป รวมเวลาเรียกว่า 1 กัปป์ คำว่า 1 กัปป์นี้มันนานจนนับไม่ถูก ท่านเปรียบเทียบว่า ถ้าใน 1 ปี มีนางฟ้า 1 องค์ บินโฉบไปที่เขาสิเนห์รุ (เขาพระสุเมรุนั่นเอง) ใช้ผ้าขาวบางปัดยอดเขา 1 ที ทำไปทุกปี ๆ ปีละครั้ง จนกระทั้งเขาสิเนห์รุนั้นเรียบไปกับพื้นดิน นั้นแหละคือระยะเวลา 1 กัปป์ ตอนนี้ไม่รู้มันกินเวลาไปกี่เปอร์เซ็นต์ของกัปป์แล้ว เพราะไม่มีปัญญาจะนับ แต่มีพระนักปราชญ์รูปหนึ่ง (ขอโทษ ผมจำชื่อไม่ได้ครับ) บอกว่า 1 กัปป์ จะมีจำนวนปีเท่ากับ เขียนเลขสิบลงไป แล้วตามด้วย 0 อีก 140 ตัว (บางตำราว่า 10 ยกกำลัง 140 ปี)

ในพระไตรปิฏกยัง บอกอีกว่า การจะสิ้นกัปป์ จะมีไฟบรรลัยกัลป์ เผาผลาญทุกสิ่งบนโลก จะมีดวงอาทิตย์ถึง 7 ดวง ทำให้ความร้อนเผาโลกไปเป็นจุล และไม่ได้เผาแต่โลก เผาสวรรค์ทั้งหมดจนถึงชั้นพรหมไปด้วย (เทพ 6 ชั้น พรหม 16 ชั้น) ดังนั้น..ถ้าเรายังเห็นพระอาทิตย์ดวงเดียวแปลว่าโลกยังไม่แตกหรอกครับ ไม่ต้องห่วง กร๊ากกกกกกกกก (เรื่องดาวเกิดใหม่ รวมทั้งดวงอาทิตย์เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ทางวิทยาศาสตร์ แต่ก็มีนักปรัชญาบางท่านก็ตีความว่าข้อความในพระไตรปิฏกนั้นเป็นการทำนายถึง ปัญหาโลกร้อน ...ปัญหามันก็อยู่ที่คนตีความนี่แหละ มันชอบเก่งกว่าต้นตำหรับ เก่งกว่านอสตราดามุส เก่งกว่าพระพุทธเจ้า เก่งกว่าชาวมายัน แต่มันก็ไม่เคยถูกเลย 555)

ใน พระไตรปิฏกยังบอกอีกว่า ในกัปป์นี้เป็นกับปป์ที่เรียกว่า "ภัทรกัปป์" กล่าวคือจะเป็นกัปป์ที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นถึง 5 พระองค์ คือ พระพุทธเจ้ากกุสันโธ พระพทุธเจ้าโกนาคม พระพทุธเจ้ากัสปะ พระพุทธเจ้าโคตมะ พระพุทธเจ้าศรีอาริยะ ซึ่งในยุคของเราเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 4 (พระสมณะโคดม หรือ พระพุทธเจ้าโคตมะ นั่นเอง) ดังนั้นกัปป์นี้จะยังไม่สิ้นถ้ายังไม่หมดยุคของพระศรีอาริย์ หรือ พระพุทธเจ้าพรงองค์ที่ 5 แห่งภัทรกัปป์

อนึ่งเมื่อพูดถึงเรื่องภัทรกัปป์ อันเป็นกัปป์ที่จะมีพระพุทธเจ้าอุบัติถึง 5 พระองค์แล้ว ยังมีกัปป์ประภทอื่น ๆ ดังนี้ :-

1) สุญญกัปป์ หมายถึง กัปป์ที่ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (แต่อาจจะมีพระปัจเจกพุทธเจ้า หรือพระเจ้าจักรพรรดิก็ได้)
2) สารกัปป์ ได้แก่ มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น 1 พระองค์
3) มัณฑกัปป์ มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น 2 พระองค์
4) วรกัปป์ มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น 3 พระองค์
5) สารมัณฑกัปป์ มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น 4 พระองค์
6) ภัทรกัปป์ มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น 5 พระองค์

แล้ว ถ้าใครบังเอิญมาบอกว่า พระศรีอารย์ได้อุบัติแล้วเป็นคนโน้นคนนี้ หรือจะมาในเร็ว ๆ นี้  ยังก่อน .. อย่างเพิ่งเชื่อ เพราะว่า ในพระตรปิฏก(อีกแล้ว 555) บอกไว้ว่า ก่อนจะถึงกาลแห่งพระศรีอารย์ เริ่มแรกต้องหมดศาสนาของพระสมณะโคดมเสียก่อน ก่อนจะครบ 5 พันปี ยังมีพระสงฆ์รูปสุดท้าย ซึ่งสมัยนั้นไม่ได้ห่มจีวรกันเป็นชิ้นเป็นอันแล้ว ศีลก็ไม่ครบ 227 ข้อ ลักษณะการแต่งการคล้ายคนทั่วไปในสมัยนั้น ซึ่งเป็นยุคที่คนเปลือยกาย หรือใส่เสื้อผ้าแค่น้อยชิ้นกันหมดแล้ว!! แต่จะยังมีสัญลักษณ์บอกได้ว่าเป็นพระสงฆ์ คือมีผ้าชิ้นเล็ก ๆ สีเหลืองห้อยอยู่ที่หู (จีวรฉบับย่อ) วันหนึ่งพระรูปนั้นก็๋รู้สึกว่า นี่เราจะเอาผ้าเหลืองมาห้อยหูทำติ่งอะไรฟะ เกะกะมวากก!! กุถอดทิ้งไปดีกว่า ชิมิชิมิ (สมัยนั้นภาษาวิบัติสุด ๆ แล้ว 555) จากนั้นศีลธรรมของผู้คนจะเสื่อมกันสุด ๆ ส่งผลให้มีอายุขัยสั้นลงเรื่อย ๆ ผ่านไปหลายล้านปี อายุขัยมนุษย์ก็เหลือแค่ 10 ปีโดยเฉลี่ย ผู้หญิงจะท้องได้ตั้งแต่ 8 ขวบ ร่างกายก็เล็กลงจนกระทั้ง จะกินมะเขือพวงสักเม็ดสองเม็ดยังต้องใช้ใม้สอยเอา (เตี้ยกว่าหมากระเป๋าอีกว่ะ)

ผู้คน เริ่มเหมือนสัตว์ กล่าวคือกัดกันเองโดยสัณชาติญาณ พูดคุยกันดี ๆ อย่างผู้มีปัญญาไม่ได้แล้ว (คุ้น ๆว่าเคยเกิดขึ้นแล้วในปี 2010 ในประเทศแถบเอซียตะวันออกเฉียงใต้) ในที่สุดก็เกิดแบ่งเป็นสองฝ่าย(เฮ้ย..คุ้นอีกแล้ว) ฆ่ากันตายไปมาก คนดี ๆ ยังมีอยู่ แต่ว่าอยู่ไม่ได้ ต้องหนีเข้าป่าไป ในที่สุดชาวเมืองก็ฆ่ากันตายไปฝ่ายละครึ่ง แล้วจึงเกิดสลดสังเวชใจ ก็หยุดฆ่ากัน คนที่เข้าป่าไปก็ออกมา แล้วจึงเริ่มระรึกถึงความดี สังคมก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ จนเวลาผ่านไปนานนับล้านๆปี ร่างกายของมนุษย์ก็ค่อย ๆ กลับมาสูงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนมีขนาดความสูงถึง 80 ศอก และมีอายุขัยยืนยาวมากขึ้น ถึง 80,000 ปี ในช่าวเวลานั้นพระศรีอาริยเมตตรัย จึงเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดุสิต มาอุบัติในพระครรภ์มารดาบนโลกมนุษย์ เป็นยุคที่โลกเจริญรุ่งทางศีลธรรมมาก มนุษย์ก็พ้นจากวัฏฏสังสารกันไปมาก และเมื่อสิ้นอายุของศาสนา มนุษย์ก็ค่อย ๆ เสื่อมลงเรื่อย ๆ จจกวลาผ่านไปหลายล้าน ๆ ปี จากนั้นวันสิ้นกัปป์ (สิ้นโลก) จึงจะเกิดขึ้น เมื่อมีพระอาทิตย์ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า 7 ดวง

ใน ทุกวันนี้เรามักพูดจะพูดถึงยุคพระศรีอารย์กันอย่างฝันเฟื่อง มันคงจะเร็วไป เพราะเรายังอยู่ในยุคของพระพุทธเจ้าสมณโคดมกันอยู่เลย เมื่อพูดถึงวันสิ้นโลก ถ้าตีความหมายว่าโลกจะแตก คงต้องบอกว่าไกลเกินกว่าจะจินตนาการ แต่ถ้าหมายถึงภัยภิบัติขนาดใหญ่ ผมว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติที่มันเกิดขึ้นมาเรื่อย ๆ ในแต่ละยุค แต่ละสมัย ซึ่งเป็นไปตามกฏแห่งกรรมอยู่แล้ว


ภาษาพาเพลิน ตอน "Fire in the hole"

ครั้งหนึ่งหลายปีมาแล้ว ไปดูภาพยนต์เรื่องเกี่ยวกับกำเนิดของพระเยชู ซึ่งในเรื่องมีการแปลคำว่า "Halo" ว่า "ฉัพรรณรังษี" พอกลับบ้านก็เลยไปโพสต์ในห้องเฉลิมไทยของเวบพันทิป ว่าทำไมเขาแปลแบบนี้ คือว่ามันผิด ผลปรากฏว่า ... ปรากฏว่าโดนรุมด่าน่ะสิ โทษฐานที่ไปรู้ดีกว่านักแปลชื่อดัง ..แล้วคนที่แปลเรื่องนี้เขาก็ดังจริงๆ ผมว่าเขาเก่งภาษาอังกฤษมาก ถึงมาทำงานแปลบทภาพยนต์ได้ แต่บางทีเขาอาจจะไม่เก่งภาษาไทย ก็เป็นไปได้กระมัง!!

คำว่า "ฉัพรรณรังสี" คือรัศมีอันประกอบด้วยแสงหกประการ ที่จะเปล่งรัศมีออกมาจากพระวรกายของพระพุทธเจ้า เป็นลักษณะเฉพาะของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ (ฉพ แปลว่า 6 ในภาษาบาลี) ดังนั้นในหนังเรื่องนั้นจะอธิบายรัศมีรอบศรีษะของพระเยซูว่าฉัพรรณรังสี ก็ดูจะเป็นการกล่าวตู่เอาคุณลักษณะเฉพาะของพระพุทธเจ้ามาใช้อธิบาย ซึ่งแน่นอนว่าไม่ถูก และยังไม่ควรอีกด้วย อันนี้ไม่ได้พยายามจะพูดว่าศาสดาของศาสนาใหนสำคัญกว่า แต่อยากจะบอกว่างานแปลบทภาพยนต์ มันเป็นงานสาธารณะ ที่มีผู้ชมมาก ดังนั้นผู้แปลจึงต้องระมัดระวัง ถ้ามีอะไรไม่แน่ใจต้องค้นคว้าก่อน ก็เข้าใจอยู่ว่า ไม่มีใครรู้อะไรไปหมดทั้งโลก แต่ทำการบ้านบ้าง ก็จะเป็นประโยชน์กับผู้ชมที่เสียเงินไปดูครับ

หัวเรื่องในวันนี้คือคำว่า "Fire in the hole" ใช่ครับ มันเป็นคำที่ผมจำมาจากภาพยนต์ที่แปลแล้วทำให้งงอีกเช่นเดียวกัน ปกติก็ไม่ได้เห็นศัพท์นี้เป็นการทั่วไป แต่เรียนรู้เอาไว้ก็อาจะมีประโยชน์ เพราะว่าพบในภาพยนต์หลาย ๆ เรื่อง เท่าที่ผมจำได้ก็มีเรื่อง "X-Men" และเรื่อง "Over the hedge" ที่จริงก็มีอีกนะ แต่ผมจำไม่ได้เสียแล้ว ทุกๆเรื่องจะแปล Fire in the hole ว่า "ไฟในหลุม" หรือไม่ก็ "ไฟในรู" โดยที่ไม่ได้ตะขิดตะขวงใจอะไรบ้างเลย ว่าคนดูเขาจะรู้เรื่องใหม



ที่ มาของมันอยู่ไกลมาก ย้อนหลังไปถึงต้นศตวรรษที่ 20 อาชีพทำเหมืองเป็นงานที่อันตรายและคนไม่อยากทำมากที่สุด (จริงๆแล้วศตวรรษนี้มันก็ยังอันตรายอยู่ดีนั่นแหละ) มักจะมีคนแขนขาด ขาขาด หรือถึงขั้นเสียชีวิต จากระเบิดที่ใช้ในการระเบิดหิน เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้มากขึ้น ทีมที่จุดระเบิด จะตะโกนบอกคนอื่น ๆ ว่า "Fire in the hole" ก่อนจะทำการจุดระเบิด (คำว่าจุดระเบิดภาษาอังกฤษเรียกว่า Detonation

ต่อ มามันได้ถูกใช้อย่างเป็นทางการ เพราะว่าเป็นคำที่ปรากฏอยู่ในตรากฏหมายของรัฐหลาย ๆ รัฐที่มีการทำเหมือง ยกตัวอย่างเช่นรัฐอิลินอยส์ (ไม่รู้คนรัฐนี้มันนอยกันั้งรัฐหรือเปล่าหนอ อิอิ) ระบุว่า “The shot firer must give a loud, verbal warning such as ‘fire in the hole’ at least three times before blasting” (ต้องให้คนจุดระเบิด เตือนทางวาจา ด้วยเสียงอันดัง เช่นคำว่า "Fire in the hole" สามครั้งก่อนทำการระเบิด) และด้วยการที่มันเป็นข้อความทางกฏหมายนี่เอง เป็นการช่วยยืนยันว่า เขาสะกดอย่างนี้(จริง ๆ นะ) เพราะว่ามีคนที่เข้าจะผิดคิดว่าเป็น "Fire in the hold"

และ ต่อมาอีก ประมาณปี 1940 มันได้ถูกนำมาใช้เป็นศัพท์ทางการทหาร ด้วยความหมายเดิม คือเป็นการเตือนให้ระวัง,และเตรียมพร้อม โดยเริ่มจากกองทหารปืนใหญ่ จะตะโกนคำว่า "Fire in the hole" ก่อนจะยิงปืนใหญ่ และก็ยังพบว่าในช่วงเวลาเดียวกันทหารราบก็ใช้คำว่า "Fire in the hole" ก่อนทำการโยนระเบิดเข้าไปในที่เป็นพื้นที่ปิด ซึ่งอาจจะมีแรงสท้อนกลับของแรงระเบิดได้ ภายหลังก็ได้แพร่หลายในหมู่ทหารอื่น ๆ เมื่อไหร่ก็ตามที่จะยิงปืนใหญ่ โยนระเบิด ก็จะใช้ว่า "Fire in the hole" กันทั้งหมด ตรงนี้ผมเดาเอาเองว่าน่าจะเป็นเพราะเป็นช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่สอง คนงานเหมือนถูกเกณฑ์มาเป็นทหารกันมาก มันก็เลยถูกนำมาใช้กับการทหารไปด้วย

ต่อ มา ในศตวรรษที่ 21 นี่เอง ที่มันกลายเป็นคำฮิตในหมู่พลเรือน อาจะเป็นเพราะว่าภาพยนต์สงครามออกฉายหลายเรื่องก็ได้ ทำให้คนจำมันติดหู และเอาไปใช้กับลักษณะอาการที่จะโยนสิ่งของออกไป อาจจะโยนให้คน หรือโยนไปในที่ว่าง ๆ ก็ใช้ได้เหมือนกัน มีร้านฟาสต์ฟูตหลาย ๆ แห่ง ที่โยนเครืองดื่มกระป๋องให้ลูกค้า ก็จะพูดว่า "Fire in the hole" เป็นการบอกให้ลูกค้าเตรียมรับสินค้า และในศตวรรษนี้ผู้ที่ใช้มันมากที่สุด ก็ไม่ใช่ทหารอีกต่อไป แต่เป็นวงการภาพยนต์ ทีมงานที่ทำ Special Effect จะใช้ "Fire in the hole" ทุกครั้งที่จะทำการระเบิด นอกจากจะให้ทีมงานระวังตัวแล้ว ยังเป็นการเตือนช่างกล้องทุกตัว ไม่ให้พลาดช๊อตสำคัญ เพราะถ้าพลาดไปต้องมาติดตั้ง Special Effect กันใหม่หมด อีกวงการหนึ่งที่ใช้มากก็คือเกมส์ออนไลน์ครับ เกมส์หลาย ๆ เกมส์ที่เป็นแนว ยิงปืน, ปาระเบิด เช่น Counter Strike(CS) เป็นต้น ผมว่าใน CS เขาพูดบ่อยไป จนออกจะน่ารำคาญไปแล้ว

และ "Fire in the hole" ก็ยังถูกใช้ไปในเชิงล้อเลียนอีกด้วย เช่นการผายลม ถ้าคุณด้านพอ ก่อนจะผายลม ก็ตะโกนบอกเพื่อน ๆ ก่อนว่า "Fire in the hole" เพื่อนๆ จะได้หนีกันทันครับ ถึงจะไม่ทำให้แขนขาขาด แต่มันก็เป็นมลภาวะทางอากาศ(หรืออาจะมลภาวะทางเสียงด้วยในบางกรณี)เตือนกันเสีย
ก่อน มันก็ดูดีมีมารยาทดีนะครับ พวกที่ใช้เชิงล้อเลียนแบบนี้ มีอีกมากครับ คงจะอธิบายกันใหม่หมด และส่วนใหญ่มันก็จะลงไปใต้สะดือแทบทั้งนั้น ยังไม่อยากเขียนบทความ 18+ ครับ 555

วันนี้เราได้รู้จักพัฒนาการของคำว่า "Fire in the hole" อย่างครบถ้วน ตั้งแต่ศตวรรษที่ 20 ถึง ศตวรรษที่21 พบกันใหม่ตอนหน้าครับ

ภาษาพาเพลิน ตอน "On the tip of my tongue"

บิกจิ๋ว คือชื่อที่สื่อมวลตั้งให้กับพลเอก "ชวลิต ยงใจยุทธ" ช่วงหลัง ๆ ท่านดังขึ้นกว่าเดิม เพราะว่ามีชนักติดหลัง ที่มักจะโดนนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามเอามาตีเป็นประจำ นั่นคือเรื่อง "สภาเปรซิเดียม"  ที่มาที่ไปมันเริ่มจาก ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมทย์ อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีแนวคิด "ขวาจัด" ได้เคยชี้หน้าด่าบิกจิ๋วว่า "เป็นผู้นิยม สภาเปรซิเดียม" จากนั้นคำ ๆ นี้มันจึงติดหลัง พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นต้นมา

สภาเปรซิเดียม คือชื่อของสภาที่ใช้ปกครอง ประเทศรัสเซีย ภายหลังจากที่ "เลนิน" ผู้นำพรรคคอมมิวนิวต์รัสเซีย (พรรคบอลเชวิค) ล้มราชวงศ์โรมานอฟลงในปี 1917 พระเจ้าซาร์ นิโคลัส พร้อม พระราชินี อเล็กซานดรา รวมถึงพระโอรส พระธิดา ถูกปลงพระชนม์หมดทั้งราชตระกูล .. มีเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมาอีกว่า ตอนนั้น พระเจ้าซาร์ เตรียมการจะหนีมาเมืองไทยส่งเรือขนส่งสิ่งของมาล่วงหน้าถึงประเทศไทยแล้ว แต่ก็ถูกปลงพระชนม์เสียก่อน จึงไม่มีโอกาสได้มา ในเรือมีทองคำเต็มลำเรือ ไม่ปรากฏว่าผู้ใดเป็นผู้ครอบครอง ทองคำและสมบัติพัสถานเหล่านั้น แต่อันนี้ก็เป็นแค่เรื่องเล่าเฉย ๆ ไม่มีหลักฐานได ๆ ทั้งสิ้น  รายละเอียดเรื่องการล้มราชวงศ์โรมานอฟ จะเอาไว้เล่าวันหลังต่อ 



ต้น สายปลายเหตุที่คำว่า "สภาเปรซิเดียม" เป็นชนักติดหลังบิกจิ๋ว ก็เพราะผู้พูด (ทั้งนักการเมือง, และสื่อมวลชล) ต้องการจะเชื่อมโยงความเป็นผู้มีแนวคิด "ซ้ายจัด" พร้อมทั้งแนวความคิดเรื่อง "ล้มเจ้า" ให้กับพล.อ ชวลิตร ยงใจยุทธ ซึ่งในช่วงที่การเมืองอ่อนไหว เช่นนี้ เราทุกคนควรฟังหูไว้หูมากกว่าที่จะเชื่ออะไรลงไป โดยไม่ไตร่ตรอง เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก

ระยะหลัง ๆ สื่อมวลชนพากันเรียกบิกจิ๋ว ว่า "พ่อใหญ่จ๋ว" ก็คงเป็นเพราะท่านมีอายุเกือบ ๆ จะ 80 ปีเข้าไปแล้ว คนในวัยนี้จะมีความหลง ๆ ลืมๆ เป็นปกติ แต่สำหรับพ่อใหญ่จิ๋ว แกพิเศษกว่าใคร เพราะแกถูกหาว่าเป็น "อัลไซเมอร์"  มาตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว ก่อนที่แกจะแก่เสียอีก

อาการ หลง ๆ ลืม ๆ ไม่ใช่ว่าจะสงวนไว้ให้ แต่คนแก่ ๆ เขาเป็นกันเท่านั้น คนหนุ่ม ๆ สาว ๆ ก็เป็นกันมาก อุตสาห์ไปหาซื้อน้ำมันปลา (Fish oil) มาช่วยบำรุงสมอง ก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้น เพราะว่า "ลืมกิน" 555 ก็คนมันขี้ลืมอ่ะนะ ทำไงได้ เวลาที่เราเกิดอาการลืม ๆ แต่ว่ามัน "เกือบจะนึกออก" เรามักจะพูดว่า "ติดอยู่ที่ริมฝีปาก" สำนวนนี้ภาษาอังกฤษเขาจะใช้ว่า "On the tip of my tongue" เขียนย่อ ๆ ก็ได้ครับ "TOT"

Tip หมายถึง "ปลาย" หรือ "ส่วนปลาย" Tip of the finger คือปลายนิ้ว Tip of the nose คือ ปลายจมูก และแน่นอนว่า "Tip of the tongue" ก็คือปลายลิ้นนั่นเอง ดังนั้นสำนวนของบ้านเรา กับสำนวนของฝรั่งมังค่า ก็ใกล้เคียงกันเลยนะครับ เขาบอกว่าติดอยู่ที่ปลายลิ้น เราบอกว่า ติดอยู่ที่ริมฝีปาก

I saw the girl on TV, she is adorable, But I can't think of her name. It's on the tip of my tongue (ฉันพบผู้หญิงคนหนึ่งใน TV, น่ารักมาก แต่นึกชื่อไม่ออกน่ะ มันติดอยู่ทีริมฝีปากนี่เอง)

I can't remeber the last song that MLTR was singing lastnight, it's on the tip of my tongue. (ฉันจำไม่ได้ว่าเพลงสุดท้ายที่ MLTR* ร้องเมื่อคืนก่อนคือเพลงอะไร มันติดอยู่ที่มฝีปาก)

พบกันใหม่ตอนหน้า

ภาษาพาเพลิน ตอน "Back for good"

ท่านรองนายกสามสี ภูเขาทอง (ไตรรงค์ สุวรรณคีรี) ออกมาบ่นว่า เด็กไทยสมัยนี้พูดภาษาไทยฟังไม่รู้เรื่อง ชิมิ ชิมิ ทำให้ภาษาไทยวิบัติกันไปใหญ่แล้ว แหม ..ท่านรองนายกอุตสาห์ออกมาพูดเอง จะไม่นำพาเลยมันก็กระไรอยู่ วันหยุดที่ผ่านมาจำต้องพาคนรู้ใจไปทานที่อาหารญี่ปุ่นร้านประจำ กำลังจะอ้าปากสั่ง ... ทันใดนั้น สำนึกรักบ้านเกิด ทำให้ฉุกคิดถึง คำพูดของท่านรองนายกขึ้นมาได้ จึงเปลี่ยนใจกระทันหัน  ...กรูไม่สั่งแล้ว "ซา..ชิมิ" เดี๋ยวภาษาไทยวิบัติหมด ชิมิ ชิมิ?  แต่ว่า ..ด้วยความเคารพท่านสามสี (ที่ไม่ใช่แมวที่บ้าน)  ที่จริงคนเขาก็เลิกพูดไปแล้ว ท่านนั่นแหละที่ไปทำให่คนเขาเอากลับมาพูดอีกครั้ง ผมขอให้ท่านสามสีถอนคำพูดด้วยครั่บ ทั่นประธาน.

ท่าน สามสีนี่เลิกเล่นการเมืองไปประมาณชาติหนึ่งเห็นจะได้ แต่ในยามที่ประชาธิปัตย์ กำลังจะวิบัติ (สงสัยสมาชิกพรรคคงจะท่อง ชิมิ ชิมิ แทนการสวดมนต์ก่อนนอน เลยวิบัติกันทั้งพรรค) ท่านสามสีจึงต้องสวมบทอัศวิน Come back กับมากอบกู้พรรคให้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง โดยกลับมาเป็นหนึ่งในทีมเศรษกิจของพรรค แต่ว่าการกลับมาของท่านจะ "Back for good"  หรือไม่?

ครับ..เมื่อจั่วหัวกันแบบนี้ คงจะเป็นอื่นไปไม่ได้ ก็วันนี้เราก็จะคุยกันถึงคำว่า "Back for good" นั่นเอง รวมถึง "For good" ด้วย เช่น This shop is closed for good. ทำไมเขาต้องปิดร้านกันแบบดี ๆ ด้วย ร้านอื่นเขาปิดไม่ดีหรือไงนะ ในระหว่างที่กำลังเดา ว่ามันหมายความว่ายังไง เรามาทำความรู้จักกับเพลง "Back for good" กันดีกว่า :-

เพลงนี้เป็นของวง Take That ซึ่งได้ออกป็นซิงเกิ้ลประมาณกลางปี 1995 เป็น Single ที่ 2 ในอัลบัม Nobody Else และสามารถติด Top UK chart อยู่ถึง 6 สัปดาห์ นานพอสมควรเลยทีเดียว และถ้าจำไม่ผิดเพลงนี้ถูกคัฟเอวร์โดย Boyz II Men อีกด้วย (ถ้าผิด รบกวนช่วยบอกด้วยนะครับ คนเริ่มแก่มักจะหลง ๆ ลืม ๆ .. เน้นว่าเริ่มแก่ ..ไม่ใช่ว่าแก่นานแล้ว)




Back for good (by Take That)

I guess now it's time,
for me to give up,
I feel it's time,
got a picture of you beside me,
got your lipstick mark still on your coffee cup,
oh yeah,
got a fist of pure emotion,
got a head of shattered dreams,
gotta leave it,
gotta leave it all behind now,

Whatever I said, whatever I did I didn't mean it,
I just want you back for good,
(want you back, want you back, want you back for good)
whenever I'm wrong just tell me the song and I'll sing it,
you'll be right and understood,
(want you back, want you back)
I want you back for good,

Unaware but underlined,
I figured out the story,
(no no)
it wasn't good,
(no no)
but in the corner of my mind,
(corner of my mind)
I celebrated glory,
but that was not to be,
in the twist of separation,
you excelled at being free,
can't you find,
(can't you find)
a little room inside for me,

Whatever I said, whatever I did I didn't mean it
I just want you back for good,
(want you back, want you back)
you see I want you back for good,
Whenever I'm wrong just tell me the song and I'll sing it,
You'll be right and understood,
(want you back, want you back)
I want you back for good,

And we'll be together,
this time is forever,
(forever)
We'll be fighting and forever we will be,
So complete in our love
We will never be uncovered again,

Whatever I said, whatever I did I didn't mean it,
I just want you back for good,
(want you back, want you back, want you back for good)
whenever I'm wrong just tell me the song and I'll sing it,
you'll be right and understood,
(want you back, want you back)
you see I want you back for good,
whenever I'm wrong I'll tell you,
want you back, I want you back for good,
whenever I'm wrong I'll tell you,
want you back, want you back,
you see I want you back for good,

Oh yeah,
I guess that now it's time,
that you came back for good...

จริง ๆ แล้วก็ไม่รู้จะเอาเนื้อเพลงมาลงให้มันยาวทำไม แต่ก็เผื่อๆ ไว้ บางที่เผื่อใครไปหา MP3 มาได้ แล้วอยากจะร้องตามขึ้นมา ถือว่าเป็นโปรโมชั่นไปแล้วกันครับ!! 

คำว่า "Back for good"  มันหมายถึงการกลับมาอย่างถาวร (back permanently) คือกลับมาแล้ว จะไม่จากไปไหนอีก .. ในกรณีของท่านสามสี He may not back for good เพราะวัยดึกขนาดพูดไม่รู้เรื่องนี่ เขาเลิกเล่นการเมืองไปหลายคนแล้ว .. ผมไม่ได้ว่าท่านนะ จริง ๆ ผมรักท่านสามสี เพราะได้ยินชื่อแล้ว นึกถึงแมวที่บ้าน ..

ท่านผู้อ่านก็คงจะพอเดา ๆ ได้ว่า "For good" แปลว่า ถาวร ไม่เปลี่ยนแปลงอีกต่อไป ดังนั้นที่ยกตัวอย่างไว้ตอนต้นว่า "This shop is back for good" ร้านนี้จะปิดไปตลอดการ  .. หรือ This hotel could possibly be closed for good due to business operation difficulties. เป็นไปได้ว่าโรงแรมแห่งนี้อาจะต้องปิดตัวอย่างถาวรจากปัญหาความยุ่งยากของการดำเนินธรุกิจ  ..(สงสัย เป็นโรงแรมเดียวกับที่อยู่ในซอยบ้านท่านนายก 555)

Dr. Karanastasis เขียนหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่งชื่อว่า "How To Get Your Ex Back For Good." ได้เป็นกลวิธีที่จะทำให้แฟนเก่าของคุณกับมาหา และไม่จากไปไหนอีก (แหม เชื่องจัง)  ผมว่าเชยไปหน่อยแล่วล่ะด๊อกเตอร์ เดี๋ยวนี้มันมีครีมทาหน้า (อย่าให้บอกยี่ห้อเลย) ที่ใช้แล้ว ผัวจะรักจะหลง ใน 7 วัน จากนอนหันหลังให้ จะมานอนแนบชิดเลยทีเดียว ป่วยการจะมานั่งอ่านหนึ่งสือของ Dr. Karanastasis ยังไม่มีรายงานว่าบรรดาหมอผี หมอเสนห์ยาแฝด ยาไม่แฝด ต่าง ๆ ตกงานกันไปบ้างหรือยัง!! เฮ้อ ...

ลองมาดูตัวอย่างในสถานการณ์อื่น ๆ กันบ้าง :-
1. Jarun said he would give up smoking for good. จรัญบอกว่าเขาจะเลิกบุหรีอย่างถาวร (แต่จะมาสูบกัญชาแทนหรือเปล่า ไม่รู้) โปรดสังเกตุ give up ด้วย คำนี้หมายถึงการยอมแพ้ หรือการเลิกการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

2. Are you going to move to Thailand for good คุณจะย้ายไปอยู่เมองไทย อย่างถาวรเลยหรือเปล่า

คราวนี้ เมื่อเจอ Back for good ที่ไหน ๆ เราจะไม่ต้องไปแปลว่า "กลับมาดี ๆ นะจ๊ะ" อีกแล้วนะครับ  หรือว่า Bradd dumped Angelina for good. ก็จะไม่ได้แปลว่า "แบรดทิ้งแองเจลลิน่าเพราะเธอดี (เกินไป)"  อีกต่อไป

พบกันใหม่ตอนหน้า


ภาษาพาเพลิน ตอน "21 Guns"

วันนีเป็นตอนพิเศษสั้น ๆ เพราะเมื่อวานนี้ได้รับคำถามทาง  e-mail ถามว่า 21 Guns มีความหมายว่าอะไร คำถามนี้ไม่ตอบคงไม่ได้ เพราะ 21 Guns คือชื่อเพลงของวง Green Days เป็นเพลงที่เพราะถูกใจคนไทยมาก (ผมเดาเอา) ที่เดาอย่างนี้เพราะมันเป็นเพลงที่คนไทยร้องได้ดังที่สุด ตอนที่ Green Days มาแสดงคอนเสิร์ตที่เมืองไทย



มันมีความหมาย 2 นัยยะ ความหมายแรกคือการ disarm คือการปลดอาวุธนั่นเอง ผมเองไม่ได้ดูเนื้อเพลงอย่างละเอียด แต่พอจำได้ประโยคที่ว่า "Lay down you arms, give up the fire" ก็วางอาวุธลง และหยุดยิง กับอีกประโยคหนึ่ง "Throw up your arms into the sky" ก็โยนมันขึ้นไปบนท้องฟ้า ซึ่งมันก็มีความหมายในเชิงสัญลักษณ์ว่าหยุดสู้กัน (เพราะโยนปืนทิ้งไปแล้ว) .. *ผมไม่แน่ใจว่าเนื้อจะถูก จำ ๆ มา มันประมาณนี้*

ประเพณีนี้มันเริ่มจากกองทัพเรือประเทศต่าง ๆ ต้องขอโทษด้วยที่ผมไม่ได้ค้นคว้ามาให้ว่า มันเป็นทหารเรือของประเทศอะไร และ พ.ศ. ไหน ที่รู้ ๆ ก็คือมันแพร่หลายไปทั่วโลกตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคม เมื่อเรือของประเทศไดประเทศหนึ่ง จะเข้าเทียบท่าต่างชาติ จะต้องทำการ Disarm คือยิงลูกกระสุนปืนใหญ่ทิ้งให้หมด สมัยโบราณเรือลำใหญ่มันติดตั้งปืนแค่ 7 กระบอก ก็ยิง 7 ครั้งเป็นอันว่า เข้าเทียบท่าได้ ส่วนที่เหลือเป็นดินปืนประเภทโซเดียมในเตรท กว่าจะอัดใส่กระบอกปืนอีกก็ใช้เวลานาน สรุปว่าเรือลำนั้นยิ่งใครไม่ได้ ปลอดภัยแล้ว จึงเทียบท่าได้

ในสมัยโบราณนั้น การยิงเรือมันเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเรือทำจากไม้ ล่มได้ง่าย และถ้าล่มครั้งหนึ่งก็จะมีคนตายมาก เมื่อเรื่อแต่ละชาติวิ่งมาเจอกันกลางทะเล ก็จะต้องทำการยิงกระสุนทิ้ง ทั้งสองข้าง โดยที่ประเทศมหาอำนาจจะยิงที่หลัง ประเทศเล็ก ๆ ต้องยิงก่อน คือยิงหมดทั้งชุดก่อน 7 ลูก แล้วจากนั้นประเทศใหญ่จึงยิงตามอีก 7 ลูก ต่อมาเราถือความเท่าเทียมกันของประเทศต่าง ๆ (มันมีอยู่จริงเหรอ ความเท่าเทียมเนี่ย) ก็เปลี่ยนมาเป็น one on one คือ ผลัดกันยิงที่ละลูก

ใน การยิงกระสุนทิ้งนี้ ถ้าเรามองดี ๆ จะเห็นว่ามันเป็นการณ์ให้เกียร์ติ เพราะเป็นการแสดงว่าเราจริงใจที่จะไม่ทำร้าย ฝ่ายตรงข้าม ลดศักดิ์ศรีของตัวเองลง ถ้านึกไม่ออกว่าเขาทำอย่างนั้นทำไม ก็ลองเปรียบเทียบกันกีฬาฟุตบอล การทุ่มลูกบอลออกเมือมีผู้เล่นบาดเจ็บ และการเตะบอลคืนเมื่อเกมส์กลับมาเล่นได้ตามปกติ เป็นการสู้กันอย่างลูกผู้ชาย ถ้าฝ่ายหนึ่งบาดเจ็บ อีกฝ่ายหนึ่งก็หยุดให้ไปรักษาหรือว่าเปลี่ยนตัวเอาคนแข็งแรงมาเสียก่อน ซึ่งเป็นการให้เกียร์ติฝ่ายตรงข้ามอีกแบบหนึ่ง

ในยุคต่อมามันกลายเป็น 21 Guns เรือมันไม่ได้ลำใหญ่ขึ้น แต่ว่าเทคโนโลยีมันเปลี่ยน หันมาใช้ดินปืนแบบโปแตสเซี่ยมในเตรท ใส่ได้ทีละ 3 ลูก เวลาจะยิงทิ้งยิงขว้าง ก็เลยต้องยิงทั้งหมด 21 ลูก (3x7)

อืม..แต่เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีมันเปลี่ยนเป็น 3G แล้วบางประเทศก็ยังอยู่แถว ๆ หลังเขาพระสุเมรุ อยู่เลย!!!!

เนื่อง จากมันเป็นสัญลักษณ์ของการให้เกียร์ติ ต่อมามันจึงใช้ในงานศพของทหาร แรกเริ่มใช้กับทหารเรือเท่านั้น ต่อมาใช้กับทหารอื่น ๆ และต่อมาใช้กับผู้นำประเทศด้วย ในที่สุดก็ใช้กับบุคคลสำคัญของประเทศด้วย แต่ไม่ใช้กับบุคคลธรรมดา ที่เรารู้จักกันทั่ว ๆ ไปว่าการ "ยิงสลุต" (salute)


กลับมาที่เพลง 21 Guns ของ Green Days กันต่อ เพลงนี้ไม่ได้ใช้ 21 Guns ใน ความหมายที่ว่าจะให้เกียร์ติกัน แต่หมายถึงให้หยุดต่อสู้กันเสียที เพราะไม่ได้ประโยชน์อะไร มีแต่ความสูญเสีย แล้วยิ่งถ้าดู MV เหมือนจะเป็นการบอกให้คนสองคนที่ทะเลาะกัน ไม่ได้มีความหมายในทางการเมืองเลย แต่ในความคิดส่วนตัว ภาพใน MV มันก็แค่จัดเรื่องราวให้เข้ากับเพลง แต่วง Green Days โดยปกติ จะอิงสังคมและการเมืองอยู่เสมอ คล้ายๆกับ คาราบาวบ้านเราในสมัยก่อน ตอนที่พี่แอ๊ดแกยังไม่ได้เปลี่ยนอาชีพมาขายบาวแดง ดังนั้นก็ฟังธงได้เลยว่า มันหมายถึงการหยุดสงครามนั่นเอง เพราะสหรัฐสูญเสียทหารในสงครามต่าง ๆ ปีละหลายพันคน ทั้ง อิรัก อัฟกานิสฐาน ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา รวม ๆ แล้วก็หลายหมื่นคนทีเดียว

อืม ... ก็ว่าจะเขียนสั้น ๆ นะ ...สายไปแล้วล่ะลุงเอ้ย ยาวเหมือนเดิม

พบกันใหม่ตอนหน้า

ภาษาพาเพลิน ตอน "Play by ears"

Marie Digby  เป็นคนดังประจำ Youtube เธอโด่งดังมากจากการทำ Cover เพลง Umbrella ของ Rhihana ซึ่งมี Hits ถึงหลักล้านภายในไม่กี่วันที่เธอ Published ออกมา หลังจากนั้นเธอได้ออกอัลบั้มของตัวเอง และมี Mini world tour น่าเสียดายที่เธอไม่ได้มาเล่นคอนเสิร์ตในบ้านเรา มาได้ใกล้ที่สุดแค่ มาเลเซีย, สิงคโปร์, และฟิลิปปินส์ อาจเป็นเพราะว่าเธอไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในบ้านเราสักเท่าไหร่ แม้ว่าเพลง Umbrella ที่เธอทำ Cover เอาไว้จะติตชาร์ต ทั้ง FM102.5 และ FM105.5 อยู่หลายสัปดาห์ก็ตาม

ถ้าใครอยากดูฝีมือการเล่นกีต้าร์แนวป๊อบ กับแสียงหวาน ๆ ของเธอ ก็ลองเข้ายูทิวป์แล้วพิมพ์ชื่อเธอลงไปได้เลยครับ ..อ้อ บางเพลงเธอก็เล่นเปียโนครับ ฝีมือใช้ได้เลยทีเดียว






















ที่ต้องเล่าเรื่องของ Marie Digby ให้ฟัง เพราะว่า วันหนึ่งเข้าไปอ่านคอมเมนต์ในยูทิวป์ของเธอ มีคนถามเธอว่า "Can you give me a tab of this song?" (ฉันขอแท๊บของเพลงนี้ได้ไหม)  *แท็บ* ในที่นี้คือ Guitar Tab ลักษณะคล้าย ๆ กับ โน๊ตบรรทัด 5 เส้นที่เราเคยเรียน แต่ว่าจะมี 6 เส้นตามจำนวนสายของกีต้าร์

Marie ตอบกลับไปว่า "I don't have any tab for all those I have played, I played them by ear." ทำให้ผมนึกสนุกขึ้นมาบ้าง เลยใส่คอมเมนต์ต่อท้ายไปว่า "But, As I can see, you're playing it by hand, not by ear" (แต่ฉันเห็นว่าคุณเล่นด้วยมือนะ ไม่ใช่เล่ยด้วยหู) ... โพสต์ไปแล้วก็มานึกได้ว่า เออมันไม่ขำเลยนะมุกนี้ แต่ยังดีที่มีฝรังพิมพ์ "555" กลับมา   ผมรู้ทันทีว่าไม่ใช่ฝรั่งที่ไหนหรอก "ฝรั่งหัวดำ" นี่เอง!! เป็นเหตุให้ผมปิ๊งไอเดียขึ้นมาว่า เออ.. เราน่าจะเขียนเรื่องนี้นะ "Play it by ear"

Play by ears


ถ้าเรา "เดา" จากประโยคที่ Marie ตอบแฟน ๆ ก็จะเดาได้ว่า "ฉันไม่ได้อ่านจากแท็บหรอก แต่ว่าฉันฟังจากหูแล้วก็เล่นตาม"  คล้าย ๆ ว่า "Play it by ear" จะแปลว่า ไม่ได้อ่านโน๊ต (แน่นอนถ้าอ่านโน๊ต คงไม่ต้องใช้หูในการเล่น) และในบริบทแบบนี้ผมคิดว่าเธอคงหมายความตามนั้นแหละ  ...เร็ว ๆ นี้เอง มีคนจีนมาขอแท็บจากผม ผมก็เลยจำมุขของ Marie มาใช้บ้าง I don't have any tab, 'cause I was playing it by ear ..แหม ฟังดูเหมือนเราเก่งมากเลยนะ แต่จริง ๆ แล้วถ้ามีแท็บ ก็ไม่มีความสามารถจะอ่านได้ทันหรอกครับ :-)

Play it by ear ไม่ได้ใช้กับการเล่นดนตรีเท่านั้น แต่มันหมายถึง "การทำอะไรที่ไม่ได้คาดเดาไว้ล่วงหน้า" ตัดสินใจเดี๋ยวนั้นทันที เหมือนกับที่นักดนตรีเล่นเพลงโดยไม่ได้อ่านโน๊ตนั่นแหละครับ (นักเปียโนจะเรียกว่าการ Improvise) หรือว่ากันตามสถานการณ์ในขณะนั้น

ลองมาดูตัวอย่างประโยคกันดีกว่าครับ:-


"He plays his negotiations by ear, going into them with no clear or fixed plan" เขาทำการต่อรองไปตามสถานการณ์ ไม่ได้มีแผนการที่ชัดเจนแน่นอนมาก่อน

"I can't tell you when should the Paliament disolution be made, let's play it by ear" ผมบอกไม่ได้หรอกครับว่าควรขะยุบสภาเมื่อไหร่ ว่าไปตามสถานการณ์แล้วกัน

"Suthep says he's not sure what goes on in the cabinet meetings on this Tusday, so he'll just play it by ear and see what happens"  สุเทพบอกว่า เขาไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้นในการประชุม ครม. วันอังคารนี้, เขาจึงปล่อยให้สถานการณ์เป็นตัวกำหนด แล้วดูว่าอะไรจะเกิดขึ้น

การ ทำอะไรที่คาดเดาไม่ได้ บางครั้งมันก็เป็นความตื่นเต้น สนุกสนานมากกว่าชีวิตที่จำเจน่าเบื่อ ใครจะไปชอบชีวิตที่ขึ้นกับตารางเวลาไปเสียหมด อะไร ๆ ก็ถูกวางแผน ถูกกำหนดไปเสียทุกอย่าง ชิมิ ชิมิ?

แล้วคุณล่ะชอบชีวิตแบบ Play it by ear หรือไม่

พบกันใหม่ตอนหน้า

Marie Digby










ภาษาพาเพลิน ตอน "I don't give a damn"

เช้านี้อากาศไม่ค่อยหนาวเหมือนเมื่ออาทิตย์ก่อน คอการเมืองทั้งหลายก็พูดกันอยู่ได้ในเรื่องปรองดอง ภาษาอังกฤษเราใช้คำว่า Reconciliation แทนปรองดองในภาษาไทย ในกรณีเป็นกริยาเราใช้ว่า Reconcile

สำหรับผมอยากจะบอกว่า Thailand really need a reconciliation. แต่คิดไปคิดมา ถ้าบอกว่า Reconciliation ในเมืองไทยมันคือการทำให้ประชาชนคิดเหมือนกัน มันก็ไม่ใช่แล้ว การที่คนไทยถูกสอนให้คิดแบบ "ภาคบังคับ" มันทำให้ประเทศไทยไม่โต และเป็นอย่างนี้มานับศตวรรษแล้ว  การที่คนไทยคนหนึ่งจะทำความคิดดีงามอะไรสักอย่าง พบว่าหลาย ๆ ครั้ง มันมาจาการ Propaganda --คำ ๆ นี้มันแปลว่ากาารโฆษณาชวนเชื่อ เมื่อ Propaganda มาก ๆ มันก็กลายเป็นหลอกชาวบ้านว่าเราเป็นอย่างนั้น ไป ๆ มา ๆ เราก็หลอกตัวเองด้วย ที่จริงแล้วการที่คนไทยคิดต่างกันแล้วอยู่ด้วยกันอย่างไม่มีปัญหาได้ต่างหาก คือสิ่งที่ต้องการ และควรเป็น

ตอนนี้แม้ เสธ.หนั่น จะพยายามเต็มที่เพื่อให้เกิด Reconciliation ในประเทศไทย แต่ผมอยากจะบอกว่า Thais don't give a damn on the reconciliation that is being proposed by Mr.Sanan.  ใช่ครับ, คนไทยไม่ได้สนใจเรื่องการปรองดองที่กำลังถูกเสนอโดย เสธ.หนั่นเลย

การ ปรองดองของคนในชาติ ไม่ได้หมายถึงปล่อยตัวนักโทษ หรือล้างความผิดคดีต่าง ๆ ของพันธมิตร และ นปช. หรือให้คุณทักษิณกลับบ้าน การทำอย่างนั้นผมเองไม่ได้ต่อต้าน แต่เห็นว่ามันเป็นการช่วยเหลือกันของนักการเมืองต่อนักการเมือง ให้รอดพ้นจากคดีต่าง ๆ แต่สิ่งที่เป็นปัญหากับประเทศจะไม่ได้รับการแก้ไข และหมักหมมในประเทศต่อไป ผมพูดทั้งสองฝ่าย เพราะมันมีคดีกันทั้งสองฝ่าย แล้วประชาชนจะได้อะไรบ้าง --ประชาชนก็แค่ถูกยกขึ้นมาอ้าง (เหมือนอย่างเคย)

เกริ่นนำเรื่องวันนี้ อาจจะดูเคร่งเครียดไปเล็กน้อย วันนี้เราจะคุยกันเรื่อง I don't give a damn ครับ คงพอจะเดาได้จากประโยคที่ยกตัวอย่างไว้ด้านบนแล้ว ว่า I don't give a damn มันแปลว่า "ฉันไม่สนหรอก" คล้าย ๆ กับ I don't care นั่นเอง แต่มันได้ความรู้สึบแบบดิบ ๆ มากกว่าการพูดว่า I don't care เฉย ๆ ยังมีอีกประโยคหนึ่งที่ให้ความหมายเหมือนกันคือ "I don't give a shit" ทั้งหมดนี้ล้วนมีความหมายว่า "ฉันไม่สน" เหมือนกัน

มันมีเกร็ดเล็กน้อย ที่เป็นต้นกำเนิดของประโยคนี้
ผู้คนรู้จักประโยค I don't give a damn จากภาพยนต์เรือง Gone with the wind ซึ่งประโยคนี้ถูกพูดโดย Rhett Butler(แสดงโดย Clark Gable) เมื่อ Scarlett O'Hara ถามว่า "Where shall I go, What shall I do" --ฉันจะไปไหน, ฉันจะทำอะไร (เมื่อเธอจะทิ้งฉันไป) แล้ว Butler ก็ตอบว่า "Frankly, my dear, I don't give a damn" --พูดแบบแฟร้งค์ๆ เลยนะ ที่รัก ฉันไม่สนหรอก!!!  เจ็บปวดไหมล่ะครับ?

ว่ากันไปแล้ว Gone with the wind ทำให้ประโยคนี้มีชื่อเสียงและติดปากผู้คน เนื่องจากเป็นหนังที่ดังมากในปี 1939 (ใครเกิดทันบ้างเนี่ย) แต่จุดกำเนิดของมันอยู่ในเอเซียใกล้ ๆ เรานี่เอง

ในสมัยที่อังกฤษปกครองอินเดีย สกุลเงินที่อินเดียใช้ ไม่ใช่ Rupee (รูปี) เหมือนทุกวันนี้ แต่เป็นสกุลที่เรียกว่า "Dam" ชาวอินเดียก็ชอบทำมาค้าขายทหารอังฤษ เพื่อหารายได้  คล้าย ๆ กับคนไทยสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ที่เราก็เอาของไปขายให้ญี่ปุ่นนั่นแหละ ที่นี้บางทีคนอินเดียก็เอาของห่วย ๆ ไปขาย เมื่อเป็นเช่นนี้ ฝรั่ง(อังกฤษ) มันก็ตอบกลับไปว่า "No no no .. I don't give a dam"  "ไม่เอาง่ะ ไอไม่ให้แกสักกะแดมหนึ่ง" ซึ่งคำนี้มันติดปากคนอังกฤษกลับไปบ้านด้วย .. ผมสงสัยว่าคนอินเดียคงจะเก่งในด้านการเอาของห่วย ๆ มาหลอกขายแพง ๆ แค่มาขายถั่ว ขายโรตี ในบ้านเรามันยังมี Tricky เลย  จากนั้นมาคนอังกฤษก็ใช้ประโยค I don't give a damn ในความหมายว่า I don't care จนกระทั่งหนังเรื่อง Gone with the wind เอามาใช้ ประโยคนี้จึงเป็นที่นิยมกันทั่วไป

พบกันใหม่ตอนหน้า

ภาษาพาเพลินตอน "LMAO"


ยุคสมัยนี้คนเราทำอะไรก็รีบๆ ไม่ทำอะไรเยิ่นเย้อ พิรี้พิไร เหมือนแต่เก่าก่อน ไม่เชื่อลองเปิดเพลงไทยเดิมฟังสิครับ โอ ...ละ..เหนอ..เอ๋อ ..เอ๋อ .. เอ๋อ ..ดวง ..เดือน .. เอย..เอย ..เอย (นี่ขนาดพิมพ์ยังเปลืองพื้นที่เลย ..OMG) คนสมัยนี้ไม่ฟังเพลงไทยเดิมก็ไม่ต้องไปโกรธเขาหรอกครับ มันก็ว่ากันไปตามยุคตามสมัย กว่าจะเอ่ยเอื้อนได้สักเพลา ก็พบว่าขับรถจากรามอินทราไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิแล้วก็ยังไม่รู้เลยว่า มันเดือนหงายหรือเดือนคว่ำ ถ้าเป็น Eminem นักร้องฮิปฮอปคนดังของบิลบอร์ดชาร์ต เขาแร็ปไปถึงท่อนฮุคแล้วครับ! (ขณะที่ลาวดวงเดือนยังอยู่ท่อนแรก)


เมื่อชีวิตมันต้องรีบเร่งกันขนาดนั้น คนเราทั้งไทยทั้งฝรั่งตาน้ำข้าว ก็จึงนิยมที่จะใช้ย่อคำในการเจรจาค้าความกัน การย่อคำไม่ได้เพิ่งเกิด มันมีมานานแล้ว ตั้งแต่กระผมเด็ก ๆ เห็นเขาสั่งก๋วยเตี๋ยวกัน เล็กชิ้นสด! จั๊บไม่งอกไม่ตับ หรือว่าหมี่โฟยำ ย่อไปย่อมาบางทีมันก็งงๆ สั่งบะหมีได้เส้นหมีซะงั้น ครั้งหนึ่งไปช่วยเพื่อนขายปาท่องโก๋กับซาลาเปา ลูกค้าเขาจะสั่งกันว่า โก๋ห้าเปาสอง หรือ เปาสามโก๋สี่ อะไรทำนองนี้ มีอยู่วันหนึ่ง มีลูกค้าสั่ง ปาห้าตัว (หมายถึงปาท่องโก๋ 5 ตัว)  เพื่อนผมมันบอกคนละร้านกันพี่ ขายปลาอยู่ร้านข้าง ๆ (ร้านข้าง ๆ ขายปลาตัวเล็ก ๆ ทอด!!) นี่เรียกว่าใช้คำย่อที่ไม่เป็นมาตรฐาน!! (มาตรฐานของพ่อค้าป๋าท่องโก๋) ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรงขนาดทำให้ท่านอดรับประทานสุดยอดปาท่องโก๋ ประจำซอย ..


ช่วง นี้ข่าวคลิปฉาวกำลังดัง เห็นเขาโพสต์ให้ไปดู คลิป ตลก. ในเฟสบุ๊ก เราก็เปิดเข้าไปดู แหมนึกว่าจะได้ดูตลกคลายเครียดซะหน่อย กลายเป็นคลิป ตุลาการ  มันไม่ใช่ "ตลก" แต่เป็น "ตุลาการ"  ... แล้วกรูจะรู้มั๊ยเนี่ย ดูแล้วไม่หัวเราะ แล้วยังเครียดเพิ่มอีก


LMAO

ตามที่จั่วหัวเอาไว้ วันนี้จะเสนอคำย่อ "LMAO" ซึ่งใช้กันมาก เรียกได้ว่าเป็นมาตรฐาน De Facto (ดี แฟคโต้) กันไปแล้ว คำว่ามาตรฐาน De Facto หมายถึงการยอมรับโดยการใช้งานจริงซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้ใช้ ส่วนการยอมรับอีกแบบที่เรียกว่า De Jure (ดี เจอร์) เป็นการยอมรับโดยกฏ หนังสือบางเล่มจะอธิบายสองคำนี้ว่าเป็น "โดยนิตินัย"  กับ "โดยพฤตินัย" แต่ว่าความหมายมันจำกัด อยู่แค่เป็นภาษากฏหมาย มันไม่ครอบคลุมทั้งหมด อย่างมาตรฐาน มอก. หรือ ISO ถือว่าเป็น De Jure Standard ในขณะที่คนไทยลงซอฟต์แวร์วินโดวส์เป็นซอฟต์แวร์มาตรฐานของเครื่องส่วนใหญ่ ในที่นี้วินโดวส์จึงเป็น De Facto standard (วินโดวส์ไม่ใช่หน้าต่างบ้านกิ๊กนะครับ) ซึ่งนั่นเป็นชีวิตจริง ไม่ใช่ในตัวบทกฏหมายแต่อย่างใด แต่ถ้าในตุลาการศาล Double standard ก็ตัวใครตัวมัน  ..หุหุ


นอกเรื่องไปไกลเลย ..กลับมาเข้าเรื่องกันอีกที คำว่า LMAO ย่อมาจาก Laughing My Ass Off -- ใช้แสดงอาการของการ "โคตรขำ" ถ้าแปลตรง ๆ ตัวคงแปลว่า "ขำจนตูดปิด"  ถ้านึกไม่ออกว่าขำแล้วทำไมต้องตูดปิด ก็ลองขำดูแล้วกัน มันเกิดอาการเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณประตูด้านใต้ของท่าน  :-) 


ฝรั่ง เขาใช้มากเวลาที่มีคนปล่อยไก่ เพราะฝรั่งบางคนมันนิสัยไม่ค่อยดี ชอบหัวเราะเยาะความผิดพลาดของคนอื่น แต่มันก็ใช้ได้ในกรณีทั่วไปที่ฮามาก ๆ ด้วย ไม่ต้องรอคนปล่อยไก่อย่างเดียว เวลาไปอ่านบล๊อคตามเวบแล้วฮามาก ๆ เขาก็ใช้ LMAO ได้เหมือนกัน


มันมีคำที่แทนอาการ "ฮา" ได้มากกว่านี้อีก คือเป็นฮาระดับ "ฮากลิ้ง"  มันคือ ROTFL LMAO  เวลาย่อเขาย่อ ย่อแต่ ROTFL เฉย ๆ เป็นอันรู้กัน ไม่ต้องประกาศให้เต็มยศ ROTFL LMAO


ROTFL มันคือ Rolling On The Floor Laughing My Ass Off -- เป็นอาการที่นอกจากจะขำจนตูดปิดแล้วยัง "ขำกลิ้ง" คือไปนอนกลิ้งอยู่บนพื้นนะครับ ตรงกลับอาการ "Rolling on the floor"  สำหรับใครที่ใช้ BBM คงคุ้นเคยดีแล้ว เพราะมันมี emoticon ROTFL อยู่ครับ


ต่อ ไปนี้เวลาเจอ "LMAO" ที่ไหน ก็ไม่ต้องงงแล้วนะครับ ถ้ามีใครส่งคำ ๆ นี้ มาให้คุณ หลังจากคุณปล่อยไก่ ก็อาจจะแปลว่าเขากำลังหัวเราะอย่างฮากลิ้ง แต่คุณจะตีความว่าเป็นการฮาแบบธรรมดา ๆ หรือว่า เขากำลังหัวเราะเยาะคุณอยู่ มันแล้วแต่บริบทนะครับ อย่าไปซีเรียสกับมันเกินไป พวกเราคนไทยชอบซีเรียสเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่เรื่องที่เป็นเรื่องกับบอกว่า ช่างมันเถอะ! แค่ขับรถปาดหน้ากัน ถึงกับยิงกันตาย ดิ้นๆ อยู่ในผับ เหยียบเท้ากันนิดส์หนึ่ง ก็พาเพื่อนมารุมกระทืบ ... เป็นอย่างนี้ประเทศเดียวในโลกกระมังครับ




แล้วพบกันใหม่ตอนหน้า