วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ตำนานการกวนเกษียรสมุทร (ฉบับไพร่)

*บทความนี้ เขียนเมื่อ Jun 01, 2010 ย้ายมาจาก Note ในเฟสบุ๊ค เพื่อมารวมไว้ที่นี่*

ปฐมบท
ครั้งหนึ่งในอันตกาล อสูรทั้งหลาย อาศัยอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มนุษย์โลกนั้นว่างเว้นจากการบำเพ็ญตบะมานานหลายอสงไขย จึงไม่มีมนุษย์ไปเกิดบนดาวดึงส์เลย ต่อมามีมนุษย์โลกที่ทำทานมาก มากจนเทียบได้ยิ่งใหญ่กว่าบุญของพวกอสูร ซึ่งมิได้เคยทำทาน แต่อาศัยการบำเพ็ญตบะบารมีอย่างเดียว เมื่อตายลง นนุษย์ผู้นั้นจึงบังเกิดบนสรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้นเอง เกิดเป็นเทวดาสายพันธุ์ใหม่ผู้มีรูปงาม ซึ่งไม่เคยมีในดาวดึงส์มาก่อนเลย

ครั้นเมื่อเทวดารูปงามเกิดขึ้น 1 องค์ ก็คอยช่อยเหลือปูทางให้ชาวโลกทำความดี และมีจิตที่ระรึกถึงเทวดา อยู่เสมอ เมื่อตายไปจิตหลุดออกจากร่าง จึงพากันไปบังเกิดเป็นเทวดาจำนวนมาก, อนึ่ง 1 วันบนดาวดึงส์นั้น ยาวนานถึง 1 แสน ปีบนโลกมนุษย์ ดังนั้นผ่านไปไม่กี่วันบนดาวดึงส์ พวกเทวดาก็พากันผุดขึ้นมากมายราวกับดอกเห็ดในหน้าฝน

ในที่สุดบนดาวดึงส์นั้นจึงประกอบด้วยเทวดาไฮโซรุ่นใหม่ กับเทวดาบ้านนอกหน้าเคร่งขรึมรุ่นเก่า (อสูรนั่นเอง) เกิดการแบ่งชนชั้น ในหมู่เทวดาขึ้นมา อสูรนั้นถูกกดขี่กลายเป็นเทวดาผู้ใช้แรงงาน ให้ล้างเท้าบ้าง งานรับใช้บ้าง หรือการใช้แรงงานต่างๆ ส่วนงานในสำนักงานเทวดานั้น เป็นของเหล่าเทวดาและนางฟ้าหน้าแฉล้ม ไปเกือบทั้งหมด


ศึกครั้งที่ 1 ระหว่าง เทวดากับอสูร
ในที่สุดเหล่าอสูรก็ทนการกดขี่ไม่ไหว พากันรวมตัวเข้ากรุง .. เอ๊ยไม่ใช่ พากันรวมตัวกันทำ "อารยขัดขืน" กับพวกเทวดา เพื่อประท้วงขอทวงคืนสิทธิ์ทีมีมาแต่อดีต เพราะการแบ่งชนชั้นและกดขี่นั้น แต่เดิมไม่เคยมีมา จนกระทั่งมีพวกเทวดาเกิดขึ้น สรุปว่าพวกอสูรต้องการรัฐธรรมนูญการปกครองดาวดึงส์ ฉบับที่อสูรกับเทวดานั้นจะมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน

พวกเทวดานั้น นอกจากไม่ให้สิทธิ์ดังกล่าวกับอสูรแล้ว ก็ยังวางแผนขับไล่อสูรให้พ้นไปจากดาวดึงส์มหานครเสีย จึงส่งกำลังทหารเทวดาทำการ "ขอคืนพืนที่" จากพวกอสูร ตามธรรมชาตินั้นอสูรเป็นผู้ใช้แรงงาน กำลังวังชาและความมีใจสู้ย่อมไม่แพ้ใคร การขอคืนพื้นที่จากพวกเทวดา จึงไม่สำเร็จ ทำให้เทวดาและทหารล้มตายไปจำนวนหนึ่ง

ต่อมาพวกเทวดาประเมินกำลังคู่ต่อสู้อย่างพวกอสูร จนกระทั่งรู้กำลังของอสูรดีแล้ว จึงมาทำการรบกับอสูรใหม่ พวกเทวดานั้นรู้ว่าถ้าสู้กันด้วยกำลัง ไม่มีทางชนะ จึงใช้เลห์กลต่าง ๆ เช่นให้เทวดาจำแลงเป็นอสูรบ้าง หรือเหาะขึ้นไปอยู่ตามดวงดาวต่าง ๆ เพื่อลอบทำร้ายเหล่าอสูรจากด้านบนบ้าง พวกอสูรนั้นไม่สามารถตอบโต้การ "กระชับพื้นที่" ของเหล่าเทวดาได้เลย จึงได้ถอยร่นแล้วพ่ายแพ้ และโดนพวกเทวดาถีบตกจากดาวดึงส์ ไปอยู่รวมกันตรงเชิงเขาสิเนรุ ด้วยความแค้นสุมอก และรอวันกลับมาแก้คืน

สมานฉันท์อสูร-เทวดา
เวลาผ่านไปนาน สวรรค์ที่ปราศจากอสูรนั้นช่างสงบสุข วันหนึ่ง ฤษีธุราวาส ผู้มีฤทธิ์มาก สามารถท่องเที่ยวไปในโลกทั้ง 7 ได้ ภายในพริบตา ได้แวะมาพบพระอินทร์ผู้เป็นใหญแห่งดาวดึงส์ แต่ไม่ได้แวะมาเฉย ๆ มาเทศนาพระอินทร์ว่า อย่าได้หลงไหลได้ปลื้มกับสมบัติพัสฐานต่างๆ เพราะเมื่อสิ้นอายุขัยแล้ว ก็เอาอะไรไปไม่ได้ ซึ่งทำให้พระอินทร์โกรธมาก แต่จะลงโทษด้วยการปลดก็ไม่ได้ เพราะตาฤษีนั้น ไม่ได้เป็นข้าราชการของพระอินทร์ จึงสั่งเทวดาให้มาล้อมจับฤษีเอาไว้ และให้ขับไล่ออกจากพระนคร

ฤษีผู้มีญาณอันแก่กล้า ย่อมไม่พอใจที่พระอินทร์กระทำการผิดมารยาททางการทูตอย่างแรง จึงสาปให้สมบัติพัสฐานทั้งหลายของพระอินทร์จมลงไปในเกษียรสมุทร พอสิ้นคำสาปสมบัติทั้งหลายก็จมลงไปในทันที ประกอบไปด้วย วิมานราชธานี ม้าวลาหก ช้างเอราวัณ ข้าราชบริพารและนางอัปสรมากมาย พระอินทร์เกิดสำนึกผิดและไปขอโทษฤษีธุราวาส แต่ฤษีก็ไม่ถอนคำสาป พระอินทร์จึงไปหาพระนารายน์ ซึ่งพระนารายน์ก็ช่วยไม่ได้ แต่แนะนำว่า ต้องทำการกวนเกษียรสมุทร ซึ่งเป็นทะเลที่มีลักษณะเหมือนน้ำนม เมื่อกวนมาก ๆ เข้า ก็จะกลายเป็นเนย และสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ใต้กระเษียรสมุทรจะลอยขึ้นมา พร้อมทั้งจะมีของแถมเป็นน้ำอำมฤต และฟองอากาศที่เกิดขึ้น ก็จะกลายเป็นเหล่านางอัปสรผู้มีโฉมงาม

พระอินทร์ได้เกณฑ์เทวดามาจนหมดสวรรค์ ก็ไม่สามารถกวนเกษียรสมุทรได้ เพราะบรรดาเทวดาชนชั้นกลางนั้น ไม่เคยทำไร่ไถนา ผอมแห้งแรงน้อย จึงจำต้องไปขอสมานฉันท์กับเหล่าอสูร และเสนอว่าจะแบ่งน้ำอมฤตให้พวกอสูรครึ่งหนึ่ง พวกอสูรนั้นไม่เคยมีสิทธิ์มีเสียงมานาน พอเทวดาเสนอให้แค่นั้นก็ดีใจ ตกปากรับคำ จึงนำกำลังปีนเขาสิเนรุขึ้นไป เพื่อช่วยกวนเกษียรสมุทร

พวกเทวดาและอสูรใช้ภูเขามันทระ เป็นแกนกลางในการกวน และใช้พระยานาคชื่อว่า เศษะนาคราช โอบล้อมเขามัณทระเป็นเสมือนเชือก เหล่าเทวดาเจ้าสำอางค์ก็เอาเปรียบพวกอสูรอีก โดยที่พวกเทวดานั้น จะชักนาคจากทางส่วนหางของ ให้อสูรชักจากส่วนของหัว ทั้งนี้เพราะผู้ที่อยู่ส่วนหัวนั้นจะถูกพิษนาคเป็นอันตราย การกวนเกษียรสมุทรนั้นดำเนินไปหลายศตวรรษ จึงได้เริ่มกลายเป็นเนย สมบัติของพระอินทร์จึงค่อย ๆ ลอยขึ้นมาทีละชิ้น ๆ จนครบ

และท้ายที่สุดก็มีผอบทองบรรจุน้ำอมฤตลอยขึ้นมา พวกเทวดาจึงเข้าไปยึดไว้ พวกอสูรเพิ่งจะถึงบางอ้อ ว่าพวกตนก็แค่ถูกหลอกใช้ พวกเทวดาเขาไม่ให้อสูรได้กินน้ำอมฤตหรอก เพราะว่าถ้าอสูรมีอำนาจขึ้นมาแล้ว ก็เกรงว่าจะแข็งข้อ ปกครองยาก นอกจากไม่ให้น้ำอมฤตแล้ว ในอดีตที่ผ่านมายังขัดขวางความเจริญของเหล่าอสูรหลายอย่าง เช่นเตะถ่วงโครงข่าย 3G และเตะถ่วงไม่ทำ ไม่ทำ FTA ระหว่างเขาโอลิมปุสกับเขาสิเนรุ จนมหาเทพซุสซึ่งเป็นผู้ปกครองเขาโอลิมปุส เริ่มระอาแล้ว หันไปทำ FTA กับพวกเทพฮินดูบนเขาไกรลาสแทน อสูรจดจำความคับแค้นได้ทั้งหมด คราวนี้จึงไม่ยอมให้เทวดาดื่มน้ำอมฤตแต่เพียงฝ่ายเดียว ก็เลยต้องสู้รบกัน ...อีกแล้ว

ร้อนถึงพระนารายน์ ต้องจำแลงกายเป็นนางโมหินี ผู้เลอโฉมมากกว่า สาว ๆ SSND และ Wonder girls ทั้งหมดรวมกันเสียอีก เหล่าทหารบ้ากามของทั้งสองฝ่ายต่างชะงักงัน เมื่อเห็นศิริโฉมของนางโมหินี ลืมทำสงครามกันชั่วคราว เมื่อเห็นดังนั้น นางโมหินีจึงแบ่งน้ำอมฤติให้พวกเทวดากินกันก่อน โดยตั้งใจจะไม่ให้พวกอสูรได้กิน (เหมือนเดิม) พวกอสูรกำลังตะลึงในความงาม ก็ไม่ได้สนใจอะไร

แต่แล้วก็มีอสูรตนหนึ่งชื่อว่าราหู เป็นอสูรมีวิสัยทัศน์ เพราะยามว่างแล้วมักจะใช้ "ตาดูดาว" เป็นงานอดิเรกอยู่เสมอ อสูรตนนี้จึงเห็นว่า ปล่อยไว้ต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะแม้แต่พระนารายน์เองก็ยังร่วมมือกับพระอินทร์ เอาเปรียบพวกอสูร จึงแปลงกลายไปตั้งพรรคการเมือง .. เอ๊ย ผิดอีกแล้ว ..จึงเแปลงกลายไปแทรกอยู่ท่ามกลางพระอาทิตย์กับพระจันทร์ ทำเนียนรอรับน้ำอมฤตจากนางโมหินี

เมื่อถึงคิวราหูได้รับเลือกตั้ง อุ๊ย จำผิดอีกแล้ว ..ได้รับน้ำจากอมฤต ราหูก็ได้ดื่มน้ำอมฤตนั้นด้วย แต่เพระอาทิตย์ (แห่งบ้านพระอาทิตย์) มันเกิดโวยวายขึ้นมา เนื่องจากราหูมาตัดหน้ามันพอดี จึงฟ้องนางโมหินี ว่าไอ้เจ้านี้เป็นเป็นอสูรปลอมตัวมา และสำทับว่า ถ้าปล่อยให้อสูรตนนี้มันเป็นอมตะ มันจะคิดการใหญ่ มันจะล้มเทพทุกขุนเขา ตั้งต้นเป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว ฉับพลับนางโมหินีคืนร่างเป็นพระนารายณ์ และขว้างจักรใส่ราหู ทำให้ร่างของราหูขาดเป็นสองท่อน กระเด็นออกไปอยู่นอกพระนคร วนเวียนเป็นวงโคจรรอบเขาสิเนรุ ส่วนหัวเป็นดาวราหู ส่วนหางเป็นดาวพระเกตุ ไม่ได้เข้าพระนครอีกเลย แต่ไม่มีวันตาย เพราะได้ดื่มน้ำอมฤตเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ตามตำนานไม่ได้ระบุไว้ ว่าภายหลังมีการยึดพรัพย์พระราหูด้วยหรือไม่ ...

ตำนานมันก็จบลงแค่นี้ แต่ความขัดแย้งดูเหมือนจะยังไม่จบ เพราะราหูอสุรีย์นั้น ก็เป็นอมตะ และยังมีสติปัญญาเป็นเลิศ และเหล่าเทวดาก็ยังเห็นอสูรเป็นโจรก่อการร้าย และกีดกันให้อยู่แต่ที่เชิงเขาสิเนรุ โดยไม่คิดจะแบ่งที่ยืนให้เหล่าอสูรบ้างเลย

ตำนานนี้สอนให้รู้ว่า
1. สงครามระหว่างอสูรกับเทวดานั้น ที่จริงมันก็คือสงครามชนชั้น อันเกิดจากความไม่เท่าเทียมกัน และการกดขี่
2. ต่อให้เกิดการสู้รับระหว่างอสูรกับเทวดากี่ครั้ง วิมานจะโดนไฟไหม่ไปสักเท่าไหร่ พวกเทวดาก็ยังจะสนใจแต่พวกวิมาน แต่ไม่ได้สนใจแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียม และโทษว่าอสูรเป็นฝ่ายกระทำ เทวดามันจะจะมองที่ปลายเหตุ จึงไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้เลย
3. พวกเทวดามักจะลืมว่า อสูรนั้นก็เป็นชาวดาวดึงส์เหมือนกัน มักจะคิดว่าเป็นบ้านนอกคอกนา ใช้สิทธิ์ใช้เสียงไม่เป็น คิดว่าเป็นพวกกระเหรี่ยงอยู่ตีนเขาสิเนรุ และการที่พวกอสูรไม่มีที่ยืนนี่เอง จึงจำเป็นต้องก่อสงคราม
4. พวกเทวดา แม้จะหน้าหล่อกว่าอสูร แต่เอาชนะด้วยเล่ห์เพทุบายและวิธีสกปรกเสมอ
5. สงครามเทวดากับอสูรนั้นไม่จบง่าย ๆ และคงจะมีต่อไป จนกว่าฝ่ายไดฝ่ายหนึ่งจะชนะกันเด็ดขาด และที่ต้องเล่นกันขั้นเด็ดขาด เพราะอสูรรู้พิษสงความเข้าเลห์ของพวกเทวดามามากแล้ว
6. เมื่อไหร่ที่มีคนฉลาดอย่างราหูเกิดขึ้น จะถูกจัดการโดยพวกเทวดาเสมอ และส่วนใหญ่ถูกกำจัดจนต้องออกนอกพระนครดาวดึงส์ ให้พ้นหูพ้นตาพระอินทร์และพระนารายน์เสมอ
7. ผู้มีอำนาจที่ยิ่งใหญ่พอจะทำให้เทวดากับอสูรนั้นสมานฉันท์กันได้ ... ไม่มีในโลก มีเพียงผลประโยชน์ที่ลงตัวเท่านั้น ที่จะหยุดสงครามได้ชั่วคราว และเมื่อหมดผลประโยชน์นั้น ก็ต้องสู้รบกันใหม่


พวกยักษ์อยู่ส่วนหัวของเศษะนาคราช

 พวกเทวดาอยู่ส่วนหัวของเศษะนาคราช

ต่างฝ่ายต่างผลัดกันดึง จนนานหลายศตวรรษ


ยักษ์ นนทุกข์ ถูกพวกเทวดากดขี่ นอกจากใช้ให้ล้างเท้าให้แล้ว ยังตบกบาลเล่นจนหัวล้านเหมือนสมศักดิ์ โก... อีก (บอกนามสกุลเต็มไม่ได้ เดี๋ยวโดนฟ้อง)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น