วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ภาษาพาเพลิน ตอน Out of my league


Out of my league


ตอนที่แล้ว เสนอคำว่า "Moodle" เป็นคำที่เอามาจากหนัง "She's out of my league" ก็ลืมที่จะอธิบายคำว่า "Out of my league" ไปเสียพร้อมๆกันเลย วันนี้จึงตั้งใจมาเป็นตอนสั้น ๆ เพื่ออธิบายกันให้ต่อเนื่องจากตอนที่แล้ว

ชายหนุ่มคนไหนที่เห็นสาวสวยเดินผ่านหน้า แล้วรู้สึกเหมือนเครื่องบินเพิ่งบินผ่านไปสดๆร้อนๆ ก็น่าจะใช้คำว่า "Out of me league" อย่างได้อารมภ์ที่สุดเลย ..ใช่แล้วครับ คำนี้มันใกล้เคียงกับภาษาไทยว่า "หมามองเครื่องบิน" นั่นเอง

เวลาที่พูดว่า She's out of my league แปลตรงๆก็คือ เธออยู่นอกลีคของฉัน, ซึ่งมันเป็นลีคที่ฉันยังไปไม่ถึง มันจึงสื่อความหมายว่า "เอื้อมไม่ถึง" หรือหมามองเครื่องบินแบบไทยๆนี่แหละครับ ..




แต่หนุ่มๆ ที่คิดว่าตัวเองมักจะต้องเอาแต่มองเครื่องบิน ก็ไม่ต้องกลุ้มอกกลุ้มใจกันมากหรอกนะครับ หมาบางตัว เจ้านายมันก็พาขึ้นเครื่องบิน ..เห็นมะ มันไม่ใช่เอาแต่เห่าเวลาเครื่องบินบินผ่านนะ ..ถ้าเจ้านายไม่ได้ใจดีพาขึ้นเครื่อง เราก็ยังรอวันเด็กได้อีกนะ ไปดูเรื่องบินทหารใกล้ๆเลย ของแพงกว่าอีก วันพระไม่ได้มีหนเดียว วันเด็กก็มีหลายครั้งเช่นกันนะครับ สู้ต่อไปไอ้มดแดง แล้ววันหนึ่งคุณจะเป็นหมาขี่เครื่องบิน

ค่อนข้างพบได้น้อยว่า Out of my league จะเอาไปใช้กับอย่างอื่น ที่ไม่ใช่การหมายตาเพศตรงข้าม ไม่ว่าจะเป็นสาวออฟฟิศหมายตาหนุ่มไฮโซ  หรือหนุ่มบ้านๆหมายตาดาวมหาลัย ใช้ได้หมด ..แต่อย่าหมายตากันมากได้ป่ะ ..มันคิดถึงหมาตายทุกทีเลย ในเมื่อคิดว่าตัวเองเป็นน้องหมามองเครื่องบินก็แย่แล้ว อย่าให้ต้องเป็น "หมาตาย" ถ้าเอาแต่หมายตา มันก็จะเป็นหมาตายจริงๆนั่นแหละ  จะดีกว่าไหม ถ้าจะทำอะไรให้เขา-เธอได้เห็นบ้าง บางครั้งคนเรามันดูดีขึ้นมาได้จากความสามารถเฉพาะตัว เช่นเรียนหนังสือเก่ง ทำงานเก่ง เล่นกีฬาเก่ง อะไรอย่างนี้เป็นต้น หาข้อดีในตัวคุณแล้วทำให้มันเด่น ..แล้วหมาจะไม่ตาย!!!  โรนัลดินโย่ยังหล่อลากดิน โดยไม่ต้องไปจัดฟันเลยสักนิด อิอิ

มีใครบางคนที่ผมรู้จักดี ..มองเครื่องบินมาเจ็ดปีเต็มๆ  ..เมื่อสองสามวันก่อนพบว่าเครื่องบินที่เขามองเดินใส่ชุดคลุมท้องไปเสียแล้ว ..นานไปหรือเปล่า?  

เอาละครับ ตอนสั้นๆมันก็ไม่เคยสั้นทุกที เพราะเวลาคิดเรื่องหนึ่งมันมักจะโยงไปหาเรื่องอื่นๆ แล้วอดเขียนไม่ได้สักที ถ้าเขียนต่อเดี๋ยวจะมี ดอกฟ้ากับหมาวัด พริกขี้หนูกับหมูแฮมอะไรแถวๆนั้นออกมาอีก เพราะมันแว๊บๆขึ้นมาในหัวเมื่อสักครู่  วันนี้คุณได้เรียนรู้คำว่า "Out of my league" แปลว่ามันไกลเกินความสามารถของตัวเราครับ



จนกว่าจะพบกันใหม่
สวัสดีปีใหม่ 2012 ครับ

วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ภาษาพาเพลิน ตอน Moodle


ฉากหนึ่งในภาพยนต์ เรื่อง "She's out of my league" .. หนุ่มๆสี่คน ในเรื่องคุยกันอยู่ในสระน้ำ คนหนึ่งบอกเพื่อนว่า "You're a moodle" ..เล่นเอาเพื่อนงง อะไรวะ Moodle? และถ้าเพื่อนแกงง ผมว่าพวกเราก็งง ที่จริงผมก็งง แต่ในเรื่องเขาก็เฉลยไว้แล้ว ผมจึงหายงงแล้ว ..และเดี๋ยวผมจะเฉลยให้ฟังที่หลัง ไปนอกเรื่องสักนิดหนึ่งก่อน










สองอาทิตย์ก่อน มีข่าว "เสก โลโซ" แทบจะทุกวัน เรื่องของดาราผมก็ไม่วิจารณ์หรอก แต่ต้นตอความซวยของพี่เสกในวันนี้ มันเกิดจาก "ความเจ้าชู้" อย่างเดียวเลย ไม่ใช่เกิดจากที่พี้ยาแล้วถ่ายภาพเก็บไว้ .. มองให้เป็นธรรมะไปเลยก็ได้ คือคนเราถ้าทำกรรมไม่ดีเอาไว้ มันอาจจะยังไม่ได้ส่งผล เพราะจริงๆแล้วเราอาจจะอยู่ในช่วงที่กำลังรับผลของกรรมดีที่เคยทำไว้ในอดีต .พอวันหนึ่งถึงคราวซวย กรรมเก่าๆมันพากันมารุมกินโต๊ะครบทุกเรื่องเลย โดนคดี โดนออกจากงาน เสียเมีย เสียชื่อเสียง ทีเดียวครบ นี่เป็นความไม่แน่นอนของชีวิต และมันเป็นไปตามกฏ "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" นั่นเอง

วันก่อน ผมได้ยินป้าเสื้อแดงคนหนึ่งพูดว่า "ไอ้เสก มันไม่ติดคุกหรอก เส้นมันใหญ่ เพราะเป็นเด็กป๋า!!"  ...เฮ้ย คนละเสกกันแล้วป้า นี่มันเสก โลโซ อันนั้นมันเสก ไฮโซ  ..ฮามากก

"ผู้ชายเจ้าชู้" มันมีแสลงที่ใช้ในภาษาอังกฤษว่า "Tomcat" ครับ คำนี้ถ้าใช้กับผู้หญิงความหมายจะต่างกัน เพราะมันจะแปลว่า ผู้หญิงที่เชี่ยวชาญมากเวลาอยู่บนเตียง แต่พออยู่ในสังคมเวลาปกติกลับดูเรียบร้อย ..สาวๆจะดีใจหรือเสียใจ ถ้ามีใครมาบอกว่าคุณเป็น Tomcat?

และ Tomcat ก็ยังมีความหมายอีกอย่างหนึงถ้าใช้กับชายแก่ ...เพราะเสือทอมมันคือ "โคแกที่ชอบกินหญ้าอ่อน" นั่นเอง ใน Urban Dictionaty บอกไว้ว่าหมายถึงชายแก่ อายุ 60 up ที่ชอบกินเด็ก อายุ 17-18 ..จริงๆแล้ว 17 นี่มัน Illegal นะลุง ติดคุกเอาง่าย ๆ ควรจะขอดูบัตรประชาชนก่อนด้วยนะ

แล้วถ้าเป็นป้าๆ ที่ชอบกินเด็กบ้างล่ะ ..อันนี้ก็มีแสลงเหมือนกัน เขาเรียกว่า "Cougar" ครับ นอกจะจะใช้กับป้าๆที่กินเด็กแล้ว ยังใช้กับป้าๆที่อายุเยอะแล้ว แต่ยังดูฮอท ดูหน้ายังอ่อนๆอยู่ คำว่าอายุเยอะในที่นี้ก็ประมาณว่า ถ้าขับรถมาจากดินแดงไปตามถนนวิภาวดีมาถึงตรงประมาณดอนเมืองน่ะครับ ..คือว่า เลยหลักสี่ไปแล้วนั่นเอง .. ถ้าป้าๆคูการ์ในชีวิตจริง ดูดีเหมือนป้าๆในซีรี่เรื่องคูก้าทาวน์ (Cougar town) ..ผมว่าสาวๆคงอิจฉา เพราะป้าแกคงคว้าเด็กๆไปกินได้หมดทาวน์นั่นแหละ หุหุ








ผู้ชาย-ผู้หญิง ไวไฟ พอๆกันนั่นแหละ แต่เก็บอาการได้ดีมากน้อยต่างกัน ตามกฏของสังคมที่พวกเขาอยู่


Moodle


ที่นี้เราพูดถึงหญิงร้ายชายเลวกันมาแล้ว มันก็ยังมีผู้ชายอีกประเภทหนึ่ง น่ารัก อ่อนโยน เป็นเพื่อนที่ดีของผู้หญิง เป็นที่ปรึกษาของเธอได้ทุกเรื่อง ต่อให้เธอทะเลาะกับแม่ หนีออกจากบ้านไป ก็ยังสามารถไปนอนที่บ้านเขาได้ "โดยสวัสดิภาพ" ..สุภาพบุรุษที่สุดในสามโลก ว่างั้นเลย.. ครับผู้ชายแบบนี้เรียกว่า Moodle นั่นเอง .. กว่าจะวกกลับมาเข้าเรื่องที่จั่วหัวเอาไว้ได้ ก็เหนื่อยเลย  .. อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว สาวๆ อาจจะยากได้ Moodle ไว้ในคอนโทรลสักคน ..อ่ะอ่านต่อไปก่อน

บทสนทนาในเรื่อง She's out of my league เป็นอย่างนี้ครับ
A: You're a Moodle
B: Moodle?
A: It's Man-Poodle, Girls they wanna take you for a walk, they wanna feed you, they wanna cuddle you, BUT! no girl wants to do a moodle.

"Moodle" มันเกิดจากการผสมระหว่าง Man และ Poodle, หมายถึงผู้ชายแสนดีน่ารักเหมือนพุดเดิ้ล, ผู้ชายมุ๊ดเดิ้ล อยู่ในสถานะเดียวกับ พุดเดิ้ล กล่าวคือ ผู้หญิงชอบพาไปเดินเล่นด้วย ไปทานอาหารด้วย ชอบกอดรัดฟัดเหวียง(แบบน่ารักน่าเอ็นดู) ..แต่ No girls want to do a moodle แต่เธอไม่นอนกับเขา จริงๆแล้ว มันจะสื่อว่า ถ้าคุณจะจีบผู้หญิงด้วยการเก๊กสุภาพบุรุษ ทำให้เข้าไว้ใจเหมือนเป็นเพื่อน เธอก็จะไว้ใจจริงๆ แต่ก็จะเป็นได้แค่เพือนนั่นแหละ .. ไม่ได้แอ้มหรอก


ดังนั้นผู้ชายที่เก๊กมาดสุภาพบุรุษ ..ไม่แตะเนื้อต้องตัว ระวังไว้นะ วันหนึ่งพาสาวไปนอนบ้าน แล้วตอนเช้าเธอจะถามคุณว่า "เป็นเกย์หรือเปล่าเนี่ย" .. คนเราอุตสาห์เป็นสุภาพบุรุษ ไม่แตะเนื้อต้องตัวเธอ ยังจะมาถามให้เจ็บกระดองใจ ..ถึงตอนนั้นคุณจะนึกถึงโดเรม่อน ขอไทม์ แมชชีน ก็ไม่ทันแล้วล่ะนะ ..

วันนี้คุณได้รู้จักคำที่ใช้บรรยายพฤติกรรมของผู้หญิง-ผู้ชายที่มีต่อเพศตรงข้าม
- Tomcat ใช้กับชายหนุ่ม หมายถึงชายเจ้าชู้ ใช้กับชายแก่หมายถึงโคแก่ที่กินหญ้าอ่อน ใช้กับผู้หญิง หมายถึงผู้หญิงที่เก่งเรื่องบนเตียงแต่ดูภายนอกเรียบร้อย
- Cougar ใช้กับผู้หญิงเท่านั้น หมายถึงป้าๆที่ชอบกินเด็ก หรือป้าๆที่ทำตัวสาวตลอดเวลา
- Moodle หมายถึงผู้ชายที่ดีเวอร์ๆ สุภาพบุรุษเวอร์ๆ จนผู้หญิงไว้ใจให้ใกล้ชิดได้ ..แต่เขาจะไม่มีวันได้อะไรมากกว่านั้น

แล้วพบกันใหม่
สวัสดีปีใหม่ 2012 ครับ

ปล. ข้อเขียนของผมส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ และวัฒนธรรมที่น่าสนใจ แต่ไม่สนับสนุนให้ทำผิดศีลธรรม มีชู้ มีกิ๊ก หรือผิดศีลข้อ 3 นะครับ หากเกิดขึ้น ผมขอแจมด้วย เอ๊ย ..ไม่ใช่ ผมไม่รับผิดชอบนะคร๊าบบบ อิอิ

วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ภาษาพาเพลิน ตอน Gig (กิ๊ก)


"I had a gig at SCB last night."

ประโยคด้านบนนี้ ฟังแล้วจั๊กกะจี้หู "มีกิ๊กที่ SCB เมื่อคืนก่อน" โว้ววว.  "กิ๊ก" เป็นคำเกิดใหม่ในภาษาไทย มีพัฒนาการของคำมาพอสมควร ในตอนแรกๆ คำว่ากิ๊ก จะหมายถึงการแอบๆปิ๊ง สนิทสนม เหมือนกับเป็นคำย่อของ "กุ๊กกิ๊ก" ไม่ได้มีความหมายร้ายแรงในเชิงชู้สาวเหมือนในปัจจุบัน หลังๆนี่ความหมายก็เปลี่ยนออกไป มีเรื่องของ intimacy affair มาเกี่ยวข้องด้วย และการใช้ก็เพิ่มการเป็นคำกิริยาด้วย เช่น "นางสาวเอกิ๊กกับนายบีอยู่" ในขณะที่ยังใช้เป็นคำนามได้เหมือนเดิม ..มันใกล้เคียงกับคำว่า "ชู้" มากขึ้นทุกวัน แม้ผู้เชี่ยวชาญด้านกิ๊ก จะพยายามบอกว่า "กิ๊กไม่ใช้ชู้ ถ้าแฟนรู้ต้องเลิก" ...มันมีความหมายเดียวกันกับ "กิ๊กก็คือชู้ประเภทหนึ่งที่แฟนรู้แล้วต้องเลิก" นั่นเอง และนั่นก็เป็นแค่กฏที่ไม่ได้มีสมาคมกิ๊กมารับรอง "จรรยาบรรณกิ๊ก" สักหน่อย ในทางปฏิบัติจึงค่อนข้างยาก ..เวลาที่คุณ Crush on someone คุณคิดว่ามันจะเลิกง่ายๆ เหรอ? ในทางปฏิบัติ กิ๊ก จึงไม่ได้ต่างกับชู้ อันนี้ความเห็นส่วนตัวผมเอง ..ไม่ต้องเห็นตามก็ได้ครับ บางคนอาจบอกควบคุมตัวเองได้ "เอาอยู่" เหมือนพี่เสก โลโซ ก็ว่ากันไป 

ที่นี้เราจะไปดู GIG ในภาษาอังกฤษกันบ้าง

ก่อนที่ผมจะรู้จักคำนี้ ผมเคยคิดว่า คำว่า Gig นี้ไม่มีในโลกของภาษาอังกฤษ นอกจากเป็นคำย่อของ "Gigabyte" เท่านั้น จนวันหนึ่งไปอ่านในเพจของ James Valentines ซึ่งเป็นมือกีต้าร์ของวง Maroon 5 (และเป็นไอดอลผมด้วย) โพสต์ว่า I'm going to have a gig at SF tomorrow. จริงๆ ผมก็เดาความหมายไว้ในใจแล้ว ว่ามันควรจะหมายความว่าอย่างไร คุณเจมส์ แกคงไม่ได้คิดจะไปหากิ๊กที่ซานฟรานซิสโกหรอก แต่เพื่อความชัวร์ก็ต้องไปถามอากู๋(Google) สักนิดหนึ่งก่อน

คำว่า GIG ในภาษาอังกฤษ มันเป็นศัพท์ที่ใช้มากในยุค 50s โดยพวกนักดนตรี มันหมายถึงการแสดงที่เป็น live performance หรือแสดงสดนั่นเอง นั่นเป็นความหมายแรก และเนื่องมาจากงานแสดงเป็นงานของนักดนตรี มันจึงมีความหมายถึง "งาน" ไปด้วย ในวงการอื่นๆ ที่ไม่ใช่ Music industry จึงเอาคำนี้ไปใช้ในความหมายเดียวกับคำว่า "Job" เช่น I've got new gig at NY Times. แปลว่าฉันได้งานใหม่ที่นิวยอร์คไทม์ และความหมายว่า "งาน" จึงเป็นอีกความหมายของมัน สำหรับในความหมายที่หมายถึงการแสดงสดนั้น ก็ยังได้ถูกใช้กับการแสดงอื่น ๆ อีกด้วย เช่นแสดงละครเวที โอเปราห์ ทอล์กโชว์ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม อย่าไปเปลี่ยน "Steve Jobs" ให้เป็น "Steve Gigs" นะครับ ฮาาาา..

สำหรับการนำไปใช้ ผมคิดว่ามีการใช้ในแวดวงอื่น ๆ ที่ไม่ใช่พวก Music industry น้อยมาก ๆ คือแทบจะไม่เคยได้ยินจากหนัง จากเพลง จากข่าว หรือโฆษณาอะไรเลย แต่ก็ยังคงใช้กันอยู่เป็นปกติ ในหมู่นักดนตรี ในความหมายถึงการแสดงสด  จริงๆมันก็ยังมีความหมายอื่น ๆอีก แต่ไม่ได้ใช้แพร่หลายนัก จึงไม่อยากจะนำมากล่าวถึงในที่นี้ เช่นหมายถึงการเต้น (dance) เป็นต้น

ความหมายของประโยคที่จั่วหัวไว้ตอนต้น I had a gig at SCB last night. จึงหมายถึงฉันมีงานแสดง(ดนตรี) ที่ SCB เมื่อคืนก่อนครับ .. ก็ถ้าใครได้ไปไปดู เมื่อวานนี้ผมและสมาชิกอีก 2 คน จากวง Astra ไปเล่น Acoustic แบบชิลด์ๆ ที่ Courtyard  .. ที่จริงแล้วผมเล่นได้ดีกว่าที่เห็นมากครับ .. จนกระทั่งถูกธนูปักเข่า ก็จึงเป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ 555+

วันนี้คุณได้เรียนรู้คำว่า "Gig" ในภาษาอังกฤษ ว่าหมายความว่าอย่างไร และมีที่มาที่ไปอย่างไร ขอให้เป็นคนดีไม่ไม่กิ๊กกันทุกคนนะครับ

แล้วพบกันใหม่
23.12.2011

วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ภาษาพาเพลิน ตอน Kiss(es) Under the Mistletoe

"With you, shawty with you
With you, shawty with you
With you, under the mistletoe .."

ประโยคข้างบนนี้ ช่วงนี้ได้ยินแทบจะทุกวัน เพราะมันเป็นท่อนคอรัส (หรือที่เรานิยมเรียกว่าท่อนฮุค) ในเพลง "Mistletoe" ของหนุ่มน้อย "Justin Bieber" นั่นเอง ผมเดาเอาเอง(เช่นเคย) ว่าจะมีคนหลายๆคนฟังแล้วงงว่า ไอ้เจ้า Mistletoe มันคืออะไร ส่วนคำว่า "Shawty" ในประโยคข้างบน แปลว่า "สาวน้อย" ผมเคยอธิบายไว้ในตอนเก่าๆ ถ้าสนใจก็ ไปขุดมาอ่านกันได้ครับ

เชื่อไหมว่าพอพมเห็นคำว่า Shawty และ With you อยู่ด้วยกันในเพลงนี้ ผมก็สงสัยทันทีว่า เพลงนี้ Chris Brown เป็นคนแต่งหรือเปล่า ก็เลยไปหาข้อมูลดู ปรากฏว่า ใช่จริงๆด้วยครับ Chris Brown เป็นคนแต่งเพลงนี้ให้ Justin Bieber ร้อง เห็นมะ!! ว่าคนเราส่วนใหญ่มักจะไม่ทิ้ง Signature ของตัวเอง คริส บราวน์ ชอบใช้คำว่า Shawty ในเพลง และยังใช้คำนี้ในเพลง "With you" อีกด้วย คนที่เรียนด้านอาชญวิทยาจะถูกสอนให้วิเคราะห์ Signature ของคนร้าย เพื่อเชื่อมโยงกับคดี และหาผู้ต้องหาได้ง่ายขึ้น  พูดมาถึงตอนนี้แล้วก็นึกถึงข่าว ที่คนสนิทของ "แทนคุณ จิตอิสระ" ถูกยิงเสียชีวิต ตำรวจมีความคืบหน้าของคดีไปพอสมควร ในขณะที่คุณอี้พูดถึงลักษณะและวิธีการยิง ว่าเป็น Signature ของมือปืนคนหนึ่ง ซึ่งตำรวจไม่สนใจในประเด็นนี้ คุณอี้ จึงเกรงว่าจะจับผิดตัว และผู้ต้องหาตัวจริงจะลอยนวล ...ก็เล่าให้ฟังเฉย ๆ น่ะ เพราะมันเกี่ยวกับคำว่า Signature ซึ่งไม่ได้แปลว่าลายเซ็นต์เสมอไป ..


มาเข้าเรื่องของเราดีกว่า

"Mistletoe" ที่จริงแล้วเป็นไม้พันธุ์หนึ่ง ที่มันไม่ได้ขึ้นบนดิน แต่จะขึ้นบนต้นไม้เหมือนๆกับ "กาฝาก" ในบ้านเรานี้เอง และเขาก็จำแนกเจ้า Mistletoe ให้อยู่ในประเภทของกาฝากนี่แหละ กล่าวคือถือว่ามันเป็นปรสิต ที่คอยดูดอาหารที่จะไปเลี้ยงต้นไม้ เจ้า Mistletoe นี้จะมีผลเล็กๆเท่าลูกเบอรรี่ มีสีขาว หรือสีแดง แล้วแต่พันธุ์ ซึ่งข้างในมียางเหนียว ๆ ซึ่งเป็นพิษต่อผิวหนัง ผมไม่มีข้อมูลว่า ถ้ากินเข้าไปจะเป็นอย่างไร แต่ไม่น่าจะถึงตาย ไม่เคยกินเหมือนกัน อิอิ.



แล้วทำไม JB ต้องไปยืนอยู่ใต้ต้น Mistletoe นี้ด้วย? แค่ต้นกาฝากเนี่ยนะ จะโรแมนติกตรงไหน!

เรื่องนี้ต้องย้อนอดีตไปถึงยุโรปยุคต้น สมัยที่ในยุโรปยังเชื่อเรื่องแม่มด มีความเชื่อกันว่า เจ้า Mistletoe นี้สามารถนำมาใช้ป้องกันมนต์ของแม่มดได้  บ้านเราก็เจ๋งไม่แพ้กัน เพราะเรามีใบหนาดไว้ป้องกันมนต์แม่นาคได้ ฮ่าฮ่า นอกจากนั้นยังเอามาปรุงเป็นยาได้หลายขนานทีเดียว จึงมีความเชื่อกันว่า Mistletoe มันเป็นไม้มงคลยิ่งนัก และถูกเอามาประดับตามบ้าน ด้วยเหตุผลคล้ายๆกับที่เราเอาใบหนาดมากันผีกระสือนั่นแหละ อย่างไรก็ตามในส่วนที่ว่าเป็นยานั้น ไม่ได้มีตำหรับยาตกทอดมาถึงปัจจุบันเลย จึงไม่รู้ว่ามันเป็นยาอะไรยังไงแน่ คือคุณต้องเข้าใจก่อนว่ามันมาจากยุโรปยุคต้น เราทราบๆกันอยู่แล้วว่า ในยุโรปยุคกลางศาสนจักร เป็นใหญ่เหนืออาณาจักร เรื่องแม่มดหมอผี ยาผีบอก มันย่อมขัดต่อกฏของศาสนจักร ขนาดตำหรับยาของนอสตราดามุส ยังถือว่าผิดกฏหมาย ที่จริงมันก็เรื่องสำอางค์ธรรมดานี่เอง แล้วคิดเหรอว่าตำหรับยาที่มี "ความขลัง" จะถูกปล่อยให้หลุดรอดสายตาของโบสถ์ไปได้ ..

มาดูตำนานของกรีกกันบ้าง
ที่กรีกเขานิยมนำเจ้า Mistletoe มาทำซุ้ม พิธีแต่งงาน เขาถือความเป็นมงคลของไม้ชนิดนี้ เช่นเดียวกับชาวยุโรป และยังเชื่ออีกว่าถ้าแต่งงานใต้ซุ้มที่ประดับประดาด้วย Mistletoe เจ้าบ่าว เจ้าสาว ก็จะอยู่กันยืด ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร เขาไม่ได้บอกว่าด้วยเพชรบลูไดม่อนหรือเปล่า ..ฮาาา แล้วถ้าคนที่ยังไม่แต่งงานกันมาจุมพิตกันใต้ซุ้มนี้ ก็จะเหมือนกับได้รับคำอวยพรให้ทั้งสองคนได้แต่งงานกันในอนาคต หนักๆเข้าผู้ชายกับผู้หญิงคบๆกันไป ผู้หญิงต้องการความมั่นใจ เลยจับผู้ชายไปสาบาน ..เอ้ย ไม่ใช่ ไปคิสสสกันใต้ Mistletoe มันจึงมีความหมายว่าเป็นการให้คำมั่นสัญญา (Commitment) ว่าจะแต่งงานกันไปโดยปริยาย ..ฟังดูก็ไม่เห็นจะโรแมนติกไปกว่า ไอ้ขวัญกับอีเรียม ที่สาบานกันอยู่ใต้ต้นไทร ถัดออกไปมีเจ้าทุยยืนเคี้ยวเอื้อง และนกเอี้ยงสองตัว เกาะเขาข้างละตัว เป็นพร๊อบที่โรแมนติกมวากกส์  ว่ามะ?




จากยุคกรีกนี่เอง จึงเกิดคำว่า "Kiss(es) under the Mistletoe" และในเพลง "Mistletoe" จัสติน บีเบอร์ บอกว่า เขาอยากจะไปยืนอยู่ใต้ต้น Mistletoe กับเจ้าหล่อนที่เขาพูดถึง ผู้หญิงที่ทำให้เขาไม่ได้ออกไปเล่นสนุกสนานในเทศกาลคริสต์มาส เพราะมัวแต่คิดถึงเจ้าหล่อนอยู่นั่นเอง จัสติน อยากไปยืนใต้ต้นไม้กับเธอ เพื่อที่ว่าจะได้จุมพิตเธอ (ลิเกไปหรือปล่าว อย่าเพิ่งอ๊วกนะ) ซึ่งการจุมพิตใต้ต้น MIstletoe มันสื่อความหมายว่า "ขอเป็นแฟนกับเธอ" ซึ่งมันเป็นความหมายปัจจุบันครับ ไม่ได้แปลว่า "ฉันจะแต่งงานกับเธอ" แบบในยุคกรีกอีกต่อไป

และเพลง Mistletoe ก็เป็นซิงเกิ้ลที่ตัดออกมาจากอัลบัม "Under the mistletoe" ซึ่งจะวางแผงเร็วๆนี้ครับ  ..เอ้าโฆษณาให้ซะงั้น

วันนี้คุณได้เรียนรู้ว่า
1. จัสติน บีเบอร์ ไม่ได้แค่จะไปยืนอยู่ใต้ต้นไม้กับสาวน้อยเฉยๆ  แต่เขาจะจูบเธออีกด้วย  ..เป็นเด็กเป็นเล็ก คิดจะหลอกสาวไปจูบ ..เดี๋ยวเตะกลิ้งเลยนี่
2. Kisses under the Misstletoe ใช้เป็นสัญลักษณ์แสดงว่าสองคนที่จูบกันใต้ต้นนี้จะคบกัน ..ก็ไม่รู้ว่าถ้าจูบใต้ตนไม้อื่น ๆ อย่างต้นลีลาวดีหน้าบ้านผม มันจูบได้ฟรี ไม่ต้องคบกันก็ได้ ..หรือไงนะ?
3. Mistletoe เป็นไม้ตระกูลกาฝาก มันมีความหมายขึ้นมาได้ เพราะคนไปใส่ใจมันเอง ถ้าเราอยากจะทำให้ "ใบหนาด" ดังบ้าง ก็ให้แกรมมี่ แต่งเป็นเพลงไปให้เทเลอร์ สวิฟต์ร้อง เดี๋ยวต่างชาติมันก็สนใจเองแหละ ว่าอะไรคือใบหนาด และจะเริ่มคิดว่าแม่นาคสวยเหมือนเทเลอร์ สวิฟต์ อีกด้วย!!!

พบกันใหม่ เมื่อธนูปักเข่า ..เอิ๊กกกก
19.12.2011